- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 January 2016 17:27
- Hits: 2149
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'มีลุ้นเด้งสั้น แต่ยังไม่ทิ้งผันผวน'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปี 2016 ประเดิมการซื้อขายวันแรกด้วยการปิดอ่อนตัวลง 24.61 จุด (-1.9%) เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิต, ทางการจีนประกาศลดค่าเงินหยวน 0.15% และการห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้นเป็นเวลา 6 เดือนจะสิ้นสุดในปลายสัปดาห์นี้ จึงมีแรงขายล่วงหน้าออกมาก่อนเพราะกังวลว่าเมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายจะขายหุ้นออกมา สำหรับแรงขายLTF ที่ครบกำหนด ก็มีส่วนกดดันด้วยแต่ไม่มากเพราะส่วนที่ซื้อในช่วงปลายปี 2012 ส่วนใหญ่ขาดทุน ต้องเป็นส่วนที่ซื้อก่อนเดือนก.ย.2012 จึงจะมีกำไร แต่ส่วนใหญ่จะซื้อกันหนักช่วงปลายปี สถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิกลุ่มละประมาณ 1.2 พันล้านบาท รายย่อยนำขายสุทธิ 2.2พันล้านบาท ที่เหลืออีก 220 กว่าล้านบาทเป็นการซื้อสุทธิของพอร์ตบล.
ตลาดหุ้นเอเชียบางแห่งมีรีบาวด์ในเช้าวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าก็เช่นกัน สำหรับตลาดหุ้นไทยวันนี้มี Catalyst จากการเข้าซื้อขายของหุ้น BEM ซึ่งเกิดจากการควบรวมระหว่าง BECL กับ BMCL ทาง DBSV ประเมินราคาพื้นฐาน BEM ไว้ที่ 5.70 บาท นอกจากนั้นเห็นว่า CK เป็นอีกบริษัทที่ได้รับประโยชน์ในการควบรวมครั้งนี้ เพราะไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนจาก BMCL เข้ามา (ในช่วง 9M15 รับรู้เข้ามาราว 151 ล้านบาท) แต่พลิกเป็นรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM ที่ถือหุ้นอยู่ 27% แทน ส่วนภาพตลาดรวมยังต้องระวังความผันผวนในทางลง อันเนื่องจากความเสี่ยงภายนอกและเศรษฐกิจภายในฟื้นตัวค่อนข้างช้า หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น CK
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบของ SET Index หรือต่ำกว่า 1280 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1290-1300, 1310 จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BAFS, SEAFCO, COM7 และหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ IRPC, BCH, LPH, LIT, ANAN, UNIQ ส่วนหุ้นที่หลุด List คือ SPRC,ERW, PLANB, MINT
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- ตลาดหุ้นจีน : ดิ่งแรง 7% เนื่องจากวิตกภาวะเศรษฐกิจซบเซาโดยเฉพาะภาคการผลิต ทั้งนี้ดัชนี PMI ของมาร์กิต & ไฉซินเดือนธ.ค.ลดลงเป็น 48.2 จาก 48.6 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนั้นทางการจีนได้ประกาศลดค่าเงินหยวนอ้างอิง 0.15% เป็น 6.5032 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐและมาตรการห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้น 6 เดือนกำลังจะสิ้นสุดลงในปลายสัปดาห์นี้ ในระหว่างซื้อขายตลาดหลักทรัพย์จีนประกาศใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์หลังดัชนีเซียงไฮ้คอมโพสิตลดลงถึง 7% ปิดตลาดดัชนี -6.86%ปิดที่ 3,296.26 จุด
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : หลุด 17,000 จุดในวันแต่ปิดเหนือเล็กน้อย โดยดัชนีดาวโจนส์ในระหว่างวันลดลงไปกว่า 400 จุด (ลงไปต่ำสุดที่16,957.63 จุด) แล้วเด้งขึ้นช่วงหลังมาปิดตลาดที่ 17,148.894 (-276.09จุด) โดยหลักมาจาก Sentiment ที่เป็นลบจากตลาดหุ้นจีน และกังวลความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- ตลาดหุ้นเยอรมนี : ดัชนีดิ่ง 4.3% เพราะวิตกเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตจำกัด กังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และยอดขายรถยนต์ชะลอตัวลง ขณะที่ CPI ปรับขึ้นน้อยกว่าคาด
- สหรัฐ : ภาคการผลิตและก่อสร้างเดือนธ.ค.ชะลอตัวลง มาร์กิตรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐที่ 51.2 ในเดือนธ.ค.ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 51.3 และจาก 52.8 ในเดือนพ.ย. ด้าน ISMรายงาน PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค.ลดลงเป็น 48.2 จาก 48.6 ในเดือนพ.ย.และจาก 50.1 ในเดือนต.ค. ส่วนการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนพ.ย.2015 ก็อ่อนตัวที่ -0.4%MoM ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปีครึ่งเพราะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนที่ลดลง
- วิตกความขัดแย้งในตะวันออกกลางบานปลาย : ซาอุดิอาระเบีย,ซูดาน, บาร์เรน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ประกาศตัด/ลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน ซึ่งมาจากกรณีที่ซาอุฯตัดสินประหารชีวิตนักโทษ 47รายในคดีก่อการร้าย แล้วผู้ประท้วงชาวอิหร่านก่อเหตุโจมตีสถานทูตและสถานกงสุลซาอุดิอาระเบีย
- ราคาน้ำมันดิบยังอ่อนตัวเพราะอุปทานสูง โดยสัญญา WTI และBRENT ส่งมอบก.พ.2016 ปิด -0.28 และ -0.06 ดอลลาร์ ปิดที่ 36.76และ 37.22 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนให้น้ำหนักลบกับภาวะอุปทานสูงมากกว่าน้ำหนักบวกจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
+ ราคาทองคำพุ่งขึ้นรับสถานการณ์เสี่ยงในตะวันออกกลาง สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.2016 ปิด +15 ดอลลาร์ที่ 1,075.20ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
• ติดตามมาตรการกระตุ้นด้านภาษีของรัฐบาล : โดยมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาทั้งในระดับผู้มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/เดือนและระดับผู้มีรายได้สูง รวมถึงอาจมีการพิจารณาให้หักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1Q16 และมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2017
• อัตราเงินเฟ้อไทย : ยังอยู่ในระดับต่ำ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยดัชนีCPI เดือนธ.ค. -0.85%YoY ส่งผลให้ทั้งปี 2015 เป็น -0.90%YoY โดยการลดลงของดัชนีราคาผู้บริโภคมาจากราคาพลังงานต่ำลง และค่า Ft ไฟฟ้าลดลง รวมถึงการตรึ่งราคาสินค้าอุปโภคบริโภค สำหรับ Core CPI เดือนธ.ค.
+0.68%YoY และทั้งปี 2015 เพิ่มที่ +1.05%YoYสำหรับปี 2016 กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่า CPI จะ +1% ถึง +2%ภายใต้สมมติฐาน GDP Growth 3-4% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 48-54 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 36-38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับอัตราเงินเฟ้อ 1Q16 มีโอกาสติดลบถ้าราคาน้ำมันดิบลงไปต่ำกว่า 34 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับ DBS Group Research ประมาณการอัตราเงินเฟ้อของไทยปี 2016 ไว้ที่ 1.5%
• อัตราดอกเบี้ยไทย : คาดทรงตัวในปี 2016 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้เป็นแรงกดดัน และคาดว่าการบริโภคในปี 2016 จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากระดับหนี้สินภาคครัวเรือนยังคงสูง และมีการใช้ดีมานด์ล่วงหน้าไปพอควรในช่วงปลายปี 2015 ในโครงการชอปช่วยชาติ และการเร่งซื้อรถยนต์ก่อนปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ทาง DBS คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 1.50% ตลอดปี 2016
• กลุ่มซีเมนต์ : โครงการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มอุปสงค์ปีละ 2-3%ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ผู้บริหารระดับสูง SCG คาดว่าโครงการลงทุนรัฐบาล3.4 ล้านล้านบาท จะใช้ซีเมนต์ประมาณ 10 ล้านตัน ทยอยลงทุน 10 ปี (ใช้ซีเมนต์ปีละประมาณ 1 ล้านตัน) คิดเป็น 2-3% ของปริมาณการใช้ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมซีเมนต์ แต่ปัจจัยลบ คือ การแข่งขันในภูมิภาคที่สูง อันเกิดจากภาวะอุปทานล้นเกินในเวียดนาม, ไทย, อินโดนีเซียให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเป็น Neutral หุ้นเด่น คือ SCC
•/+ จับตาหุ้น BEM ที่เริ่มซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก โดยหุ้นเกิดจากการควบรวมระหว่าง BECL กับ BMCL โดยนำจุดเด่นเรื่องฐานะการเงินที่แข็งแรงของ BMCL และการมีโครงการลงทุนใหม่จำนวนมากของ BMCLมาก่อให้เกิด Synergies และผลประโยชน์ทางธุรกิจให้มากขึ้น คาดว่านักลงทุนสถาบันจะให้ความสนใจเพราะเป็นหุ้นที่จ่อเข้าคำนวณใน SET50 รอบก.ค.-ธ.ค.2016 เนื่องจากมี Market Cap ใหญ่อันดับประมาณ 41 (คำนวณจากราคาปิดที่ควบรวมมาที่ 5.34 บาท) ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่5.70 บาท
+ CK (ราคาปิด 28 บาท) : ได้รับประโยชน์จากการควบรวมเป็น BEMเพราะเดิม CK ต้องรับรู้ผลขาดทุนใน BMCL (ในปีงวด 9 M15 รับรุ้ผลขาดทุนใน BMCL เข้ามา 151 ล้านบาท โดย BMCL ขาดทุนสุทธิ 426 ล้านบาท และ CK ถือหุ้นอยู่ 35.47%) แต่เมื่อควบรวมแล้วก็กลายเป็น BEM จะพลิกเป็นรับรู้ผลกำไรแทน โดย CK ถือหุ้น BEM เท่ากับ 27% ยังคงคำแนะนำซื้อ CK โดยให้ราคาพื้นฐาน 33 บาท และให้เป็นหุ้น Dark Horseของเดือนม.ค.2016 ด้วย
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –[email protected]