- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 January 2016 15:41
- Hits: 1447
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
หลังปรับลงแรง คาดว่าจะแกว่งทรงตัวได้ ก่อนลุ้นดีดขึ้นต่อไป!!
กลยุทธ์ : คาดว่า SET มีโอกาสแกว่งทรงตัวได้ดีขึ้น หลังปรับตัวลงแรงวานนี้ไปพอควรแล้ว แต่ยังมีโอกาสเคลื่อนไหวด้านลบได้อีก ก่อนลุ้นจังหวะรีบาวด์ในช่วงถัดไป ดังนั้นถ้าจะเลือกหุ้นเข้าซื้อ FSS จึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นและซื้อในช่วงลบเท่านั้น แต่หลังจากซื้อแล้วยังสามารถเน้นถือต่อเนื่องไว้ก่อนได้
หุ้นเด่นทางเทคนิค : ASIMAR, AP, LHBANK(buy back)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้(4 ม.ค.) SET กลับมาปรับตัวลงรุนแรงอีกครั้ง หลังตลาดหุ้นเอเชียเปิดทำการด้วยการปรับตัวลงกันเป็นส่วนใหญ่ จากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจจีน และแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์-กลุ่มมือถือในตลาดหุ้นบ้านเรา หลังนักลงทุนไม่มั่นใจต่อผลกระทบที่จะได้รับเนื่องจากตัวเลขการประมูลคลื่นช่วงท้ายปีที่แล้วค่อนข้างสูง ขณะที่ภาคบ่ายยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการที่ตลาดหุ้นจีนประเดิมการใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ในวันแรกของปีใหม่ เนื่องจากปรับตัวลงแรงถึงเกือบ 7% ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปในช่วงค่ำด้วย อย่างไรก็ตามเช้านี้ตลาดหุ้นในเอเชียเริ่มแกว่งทรงตัวได้ดีขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าจะยังมีปรับตัวลดลงต่ออีก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนยังเปิดเป็นลบถึงกว่า 3% แต่กรอบลบโดยภาพรวมถือว่าเริ่มรุนแรงน้อยลง และมีบางแห่งที่รีบาวด์กลับเป็นบวกให้เห็นได้ด้วย ทำให้ FSS คาดว่า SET น่าจะมีจังหวะแกว่งทรงตัวได้ดีขึ้นเช่นกัน แต่คงยังเป็นช่วงแกว่งตัวบวก-ลบในกรอบจำกัดก่อนมากกว่า เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลกดดันอยู่ ดังนั้นเรายังไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคาช่วงบวก เพราะจะมีความเสี่ยงจากการแกว่งตัวผันผวนของตลาด
แนวรับ 1260-1258 , 1255-1252 จุด
แนวต้าน 1268-1272 , 1275-1280 จุด
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออก US$609 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$431 ล้าน และเกาหลีใต้ US$153 ล้าน ขณะที่ไหลเข้าอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์รวมเพียง US$9 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคตามตลาดหุ้นจีน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันจากตลาดหุ้นจีนและสหรัฐ ที่ปรับลงรุนแรงหลังตัวเลข PMI ของจีนออกมาต่ำกว่าคาดและต่ำกว่าระดับ 50 จุดติดต่อกัน 10 เดือน ส่วนเหตุการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังซาอุดิอาระเบียและบาห์เรนตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านจะหนุนราคาน้ำมันได้บ้างแต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้น มีหลายปัจจัยที่ยังกดดันราคาน้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 1Q16 แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันร่วง PTTGC (ราคาเป้าหมาย 70 บาท) และ EPG (ราคาเป้าหมาย 15 บาท)
(-) กลุ่มมือถือมีแต่จะถูกปรับประมาณการลง ไม่มีปรับขึ้น แรงขายหุ้นในกลุ่มมือถือที่กดดันดัชนีตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ยังคงกดดันตลาดอย่างต่อเนื่องวานนี้และอาจมีต่ออีกระยะหนึ่ง เพราะช่วงนี้นักวิเคราะห์เริ่ม Company visit คาดการณ์ผลประกอบการ 4Q15 และอาจเห็นการปรับประมาณการลงอีกแต่ไม่มีปรับขึ้น ความยากของประมาณการปี 2016 ที่ทำให้คาดการณ์ของนักวิเคราะห์แต่ละค่ายต่างกันมากอยู่ที่การคาดเดาว่าลูกค้าจะย้ายค่ายไปอยู่กับค่ายใด ความเสี่ยงแบบนี้ทำให้กลุ่มมือถือน่าจะเผชิญแรงขายอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ว่าจากกอง LTF/RMF ที่ครบกำหนด
(+) BEM เราประเมินราคาเป้าหมายปีนี้ 6 บาท (DCF) หลังรวมกิจการของ BECL และ BMCL ทำให้ BEM เป็นทั้งผู้ให้บริการทางด่วนและรถไฟฟ้าใต้ดิน เราคาดรายได้ในปีนี้โต 22% Y-Y จากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพใน 3Q16 และได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงเหลือเพียง 4% ทำให้กำไรปกติปีนี้โต 42% Y-Y และคาดว่า BEM จะจ่ายปันผล 0.11 บาท/หุ้นสำหรับผลประกอบการปี 2016 คิดเป็น Yield 2.2% ราคาเป้าหมาย 6 บาทคำนึงถึงสัมปทานที่มีอยู่ในปัจจุบันและรวมสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย แต่ยังไม่รวมรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆที่จะมีการประมูลในอนาคต
(-) DTAC เราคาดกำไรปกติ 4Q15 +25% Q-Q, -15% Y-Y เป็น 1.496 พันล้านบาทถูกกดดันจากรายได้จากการให้บริการที่หดตัว ขณะที่ต้นทุนยังเพิ่มจากการลงทุนโครงข่าย ทำให้กำไรทั้งปี 2015 น่าจะลดลงถึง 40% Y-Y และการไม่ชนะการประมูล 4G ทำให้ต้นทุนอยู่ในระดับสูงไปอีก 3 ปีเพราะต้องลงทุนในโครงข่ายที่อยู่บนสัมปทานซึ่งต้องเร่งตัดค่าเสื่อมฯ รวมถึง Regulatory cost ที่ไม่สามารถลดลงได้มากนัก เราปรับกำไรปี 2016 ลง 25% เป็นหดตัว 34% Y-Y และคาดกำไรปี 2017 ลดลงอีก 8% Y-Y หดตัวติดต่อกัน 3 ปี ปรับราคาเป้าหมายเหลือ 30 บาท แต่ปรับคำแนะนำขึ้นจากขาย เป็นถือรับปันผล
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวร่วงแรงในวันทำการแรกของปีจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่กลับมากดดันอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
(-) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงแรงวานนี้ตามตลาดหุ้นจีนที่ถูกเทขายจนกระทั่งต้องใช้ Circuit Breaker หลังเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้กลับมาแกว่งในแดนบวกได้เล็กน้อยหลังเปิดตลาดในแดนลบ โดยนักลงทุนยังกังวลและจับตาเศรษฐกิจจีนที่ส่งสัญญาณชะลอตัว
(0) ค่าเงินบาทยังแกว่งทรงตัวในกรอบ 36.10-36.18 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ขยับลง 0.28 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 36.76 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านอุปทานที่ยังล้นตลาด แม้จะมีสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับซาอุดิอาระเบีย
ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. พุ่งขึ้น 15.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1075.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรง ทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5-ม.ค. - ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
6-ม.ค. - จีน: Caixin China PMI Composite (ธ.ค.)
- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน (ธ.ค.), คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (พ.ย.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (ธ.ค.)
7-ม.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (ธ.ค.)
- สหรัฐ: รายงานการประชุม FOMC ของวันที่ 15-16 ธ.ค.
8 ม.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ธ.ค.)
- สิงคโปร์: 4Q15 GDP
- สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน (ธ.ค.)
10-ม.ค. - จีน: ยอดสินเชื่อรายเดือน (ธ.ค.)
13-ม.ค. - จีน: ดุลการค้า (ธ.ค.)
14-ม.ค. - เกาหลีใต้: ธนาคารกลาง (BOK) ประชุม
- สหรัฐ: รายงาน Beige Book
15-ม.ค. - สหรัฐ: ยอดค้าปลีก (ธ.ค.)
19-ม.ค. - จีน: 4Q15 GDP, Industrial Production (ธ.ค.), ยอดค้าปลีก (ธ.ค.)
20 ม.ค. - ไทย: ยอดขายรถ (ธ.ค.)
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch