WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'แกว่งไม่หลุด 1280 ยังเลือกซื้อ/ถือต่อ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปี 2015 ปิดที่ 1288.02 จุด (-14%YoY) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.54 แสนล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิเล็กน้อย 6.4 พันล้านบาท ด้านสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 7.9 หมื่นล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 8.2 หมื่นล้านบาทสำหรับ January Effect - จากการศึกษาของ Quant Team Thailand พบว่า Return ของเดือนม.ค.เฉลี่ยย้อนหลัง 17 ปีของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ +2.4%แต่ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง -1.2% และมีความผันผวนมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงขายของ LTF ที่ครบกำหนดถือครอง 5 ปีปฎิทิน (แต่ในปี 2016 เป็นต้นไป LTF ต้องถือครอง 7 ปีปฎิทิน)

      ในระยะสั้นมาก (ต้นสัปดาห์แรกของปี 2016) ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ขณะเดียวกันตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค.2015 ของจีนที่ยังต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว (โดยอยู่ที่ 49.7 จาก 49.6 ในเดือนพ.ย.) เป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นเอเชีย อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับซาอุฯหลังซาอุฯตัดสินประหารชีวิต 47 คนในคดีก่อการร้ายทำให้ราคาน้ำมันดิบเด้งขึ้นในช่วงสั้น ซึ่งเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน (หุ้นเด่น PTT) และน่าจะช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยเอาไว้ กลยุทธ์การลงทุน เน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Buy) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น MINTวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบของ SET Index หรือต่ำกว่า 1280 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1290-1300, 1310 จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น MINT, ANAN, UNIQ และหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SPRC, ERW, PLANB, IRPC, BCH, LPH, LIT ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ TakeProfit เป็น CK, VIBHA

ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- จีน : ภาคการผลิตยังอ่อนแอ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค.2015 ยังต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 49.7จาก 49.6 ในเดือนพ.ย. ด้าน PMI ภาคบริการเดือนธ.ค.ขยับขึ้นเป็น 54.4จาก 53.6 ในเดือนพ.ย.

• สหรัฐ : ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกขยับขึ้น ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 ธ.ค.2015 เพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 287,000 ราย

+ ญี่ปุ่น : ผู้ประกอบการคาดเศรษฐกิจจะดีขึ้นในปี 2016 ผลการสำรวจในเดือนธ.ค.พบว่า 88% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวดีขึ้นในปี 2016 โดย63% คาดว่ามาจากการฟื้นตัวของค่าใช้จ่ายของภาคเอกชน และ 45% มาจากค่าใช้จ่ายด้านทุน

- การเมืองต่างประเทศ : สหรัฐวิตกการตัดสินประหารชีวิตนักโทษ47 รายในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายของซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้แถลงการณ์ของสหรัฐมีขึ้นหลังจากกระทรวงมหาดไทยของซาอุดิอาระเบียประกาศถึงการตัดสินประหารชีวิตนักโทษ 47 ราย ซึ่งรวมถึงนายนิมร์ อัล-นิมร์ ผู้นำคนสำคัญของชาวชีอะห์ เพราะเหตุก่อการร้ายของกลุ่มอัลกออิดะห์ในระหว่างปี 2546-2549

-/• ราคาน้ำมันดิบ WTI & BRENT ปี 2015 ระดับปิด -31%YoY และ-35%YoY เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบก.พ.2016 ปิด -1.27 และ -1.33 ดอลลาร์ มาที่ 36.60 และ 36.46ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสิ้นสุด ณวันที่ 25 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อน สู่ระดับ 487.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล แต่ 31ธ.ค.ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้เล็กน้อย โดยสัญญา WTI และ BRENT ปิด

+0.44 และ +0.82 ดอลลาร์ ปิดที่ 37.04 และ 37.28 ดอลลาร์/บาร์เรล

+ ราคาน้ำมันดิบช่วงสั้นเด้งขึ้น หลังซาอุดิอาระเบียตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน โดยความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจของตะวันออกกลางมาจากการที่กลุ่มผู้ประท้วงช่วงอิหร่านได้โจมตีหน่วยงานด้านการทูตของซาอุฯในอิหร่าน อันเนื่องจากกรณีซาอุฯตัดสินประหารนักโทษคดีก่อการร้าย 47 ราย

- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันสุดท้ายของปี 2015 โดยดัชนี DJIAปิด -178.84 จุด ที่ 17,425.03 จุด ดัชนี S&P 500 ปิด -19.42 จุด ที่2,043.94 จุด ดัชนี NASDAQ ปิด -58.44 จุด ที่ 5,007.41 จุด ปัจจัยที่ยังคงกดดัน คือ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มเกินคาด ทั้งนี้ราคาสัญญาน้ำมันล่วงหน้า -11% ในเดือนธ.ค. 2015 และ-30.5%YoY

•/- สัญญาทองคำตลาด COMEX 31 ธ.ค.2015 (ส่งมอบมี.ค.2016)ปิดที่ 1060.20 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 10.5%YoY แนวโน้มยังไม่สดใสนัก เพราะทิศทางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐคอยกดดันเป็นระยะ

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
• January Effect : มีผลต่อตลาดหุ้นไทยลดน้อยถอยลง จากการศึกษาของ Quant Team Thailand ในช่วง 17 ปีย้อนหลัง (ปี 1998-2015) พบว่าผลของ January Effect มีน้ำหนักน้อยลง โดย Return ของ SET ในเดือนม.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ +2.4%MoM แต่ถ้าดูย้อนหลัง 10 ปี พบว่าเฉลี่ย -1.2%MoMสำหรับ FTSE Small Cap เดือนม.ค.ให้ Return ที่ดีกว่า SET Index โดยอยู่ที่ +4.8%MoM แต่ก็ถดถอยลงเช่นกัน ด้าน MSCI Asia ex Japan ให้Return เดือนม.ค.เฉลี่ย -0.5%MoM ผลการศึกษาข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าJanuary Effect ไม่ได้มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นมากนัก และ Return ผันผวนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีแรงขายจาก LTF กดดันด้วย
+/- ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหุ้นที่เข้า/ออกจากการคำนวณในSET50 และ SET100 มีผลบังคับใช้ 4 ม.ค.-30 มิ.ย.2016 ดังนี้
# หุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET50 : BLA, SCCC, TASCO
# หุ้นที่ถูกตัดออกจาก SET50 : BMCL, RATCH, THCOM
-------------------------------------------------------------------------------------------
# หุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET100 : BLA, CHG, EPG, GL, GPSC,PLANB, PLAT, PTG, SAMTEL, SCCC, SCN, TASCO, VNT, WORK
# หุ้นที่ถูกตัดออกจาก SET100 : ASP, DEMCO, ERW, GFPT,GLOBAL, LOXLEY, MC, MONO, PSL, RATCH, SAPPE, SF, SGP, U

• กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม : กนอ.เปิดเผยว่าปี 2015 ยอดขายที่ดินนิคมฯอยู่ที่ 2.4 พันไร่ ส่วนปี 2016 ตั้งเป้าหมาย 3 พันไร่...เราเห็นว่าเป้าหมายของปีใหม่นี้ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต แต่ก็มีความท้าทายเพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่เพียง 65% หลายอุตสาหกรรมจึงอยู่ในข่ายที่ไม่ต้องรีบเพิ่มกำลังการผลิต ดังนั้นเราจึงให้น้ำหนักลงทุนNeutral ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แม้ว่าราคาหุ้นในกลุ่มนี้จะลดลงมามากแต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

+ MINT (ราคาปิด 36.25 บาท) : ผลประกอบการ 4Q15 และ 1Q16ได้รับการกระตุ้น จาก 1) ฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วง ไตรมาส 4 ปีก่อน และไตรมาส 1 ของปี 2016 คาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในไทย,ออสเตรเลีย และมัลดีฟท์จะสูงขึ้น , 2) ได้ประโยชน์จากมาตรการเที่ยวไทยและชอป&กินเพื่อลดหย่อนภาษี, 3) ร้านอาหารในสิงคโปร์กลับมาเปิดหลังปรับปรุงกิจการแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และ 4)รับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

บริษัทมีเป้าหมายขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีงบประมาณลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าราว 4.2 หมื่นล้านบาท (ทั้งขยายในส่วนที่มีอยู่และเข้าซื้อกิจการเพิ่ม) คาดว่าภายในปี 2020 จะขยายธุรกิจโรงแรมเป็น 200 แห่ง (จาก 134แห่งในปัจจุบัน) และสาขาของธุรกิจอาหารเป็น 3,000 แห่ง (จากปัจจุบัน1,700 แห่ง) อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิวางไว้เฉลี่ยปีละ 15-20% ซึ่งมาจากการเพิ่มมาร์จิ้นจากการพัฒนาแบรนด์ตัวเอง, การขยายกิจการภายในและซื้อกิจการเข้ามาเพิ่ม และพัฒนาสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร การวิเคราะห์เทคนิค เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกโดยมีแนวต้านระยะสั้น 38-40, 42 บาท และ Stop Loss เมื่อหลุด 35 บาท

นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!