- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 07 July 2014 14:48
- Hits: 2671
บล.เคที ซีมิโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทดสอบแนวต้าน 1500 จุด (2)
Highlight
ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ Sideway Up อิงกระแสโลกยังคงเน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง มากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ Japan: Leading Index พ.ค. คาด 106 (Vs 106.5) Germany: Industrial Production พ.ค. คาด 3.8%y-y (Vs 1.8%) Spain:Industrial Production พ.ค. 8kf +3.7%y-y (Vs 4.3%)
-วันทำการล่าสุด นักลงทุนต่างชาติกลับมาขาย -36 ลบ. (จากซื้อสะสม 4 วันรวม +5.39 พันลบ.) ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อเพิ่ม +108 ลบ. (ซื้อ 6 วันใน 7 วันทำการล่าสุดรวม +4.98 พันลบ.)
+/- การเมือง จับตา กสทช. ชี้แจงการประมูลคลื่นความถี่ต่อคสช. และการประกาศรัฐธรรมนูญชั่วคราว ส่วนการประมูลโครงการรถไฟรางคู่ ประกาศกลางเดือนนี้
กลยุทธ์: 2Q57F High earnings Play แนะนำ TMB KTB PTTEP SCCC IVL GOLD ส่วนหุ้นคาดจ่ายปันผลระหว่างกาล แนะนำ TNITY CSL BTS INTUCH ADVANC DTAC TTW TRT PTTGC SAMTEL ส่วนเทคนิคสัญญาณขาขึ้นไปถึง 1520 จุดมีโอกาสเกิดขึ้นใน 1-2 สัปดาห์นี้
หุ้นในกระแส:
หุ้นโมเมนตัมบวก (ขึ้นเกิน 5.0%) ได้แก่ WIIK ABC ACAP AQ E ITD UNIQ QH RPC GLOBAL หุ้นที่ลงกว่า 3.0 % ได้แก่ RASA CI SST MIDA GCAP UTP VIH TWS
NVDR (หน่วย: ลบ.) สูงสุดด้านซื้อ SCB+840 TRUE+102 CPF+92 ได้แก่ สูงสุดด้านขาย ได้แก่ TCAP-223 LALIN -152 MINT-116
หลักทรัพย์ที่มี Short Sell สูงสุด (หน่วย:ล้านบาท) ได้แก่ PTT 127 KTB 68 KBANK 65
วันนี้ AIRA เข้าซื้อขายวันแรก ตลาด MAI ราคา IPO 0.75 บาท ราคาพาร์ 0.25 บาท
Market Outlook
คาดดัชนีฯ วันนี้ Sideway Up แนวต้าน 1500/1505 จุด จากโมเมนตัมบวกต่อตลาดหุ้นโลก ส่วนรายงานผลกำไรบจ. คาดว่าจะเป็นตัวแปรทิมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยจะเป็นบวกหากมี Surprise ของกำไรแบงก์ไทย (TISCO ประกาศรายแรก 10 ก.ค.)
คาดดัชนีฯ สัปดาห์นี้ Sideway Up (ขึ้นสลับปรับฐาน) แนวต้าน 1520 จุด แนวรับ 1482 จุด แรงซื้อจากต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นต่อหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ (เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า Global Emerging Market Funds สูงขึ้น หลังตลาดหุ้นโลกหลายแห่งทำ New High เนื่องจากระดับ Valuation ที่ถุกว่า DM) ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น หากรายงานผลกำไรบจ.กลุ่มแบงก์ เกิด Surprise (TISCO ประกาศรายแรก 10ก.ค. คาดกำไร 1050 ลบ -9.4%y-y +12.3%q-q ขณะที่ TMB BAY KTB SCB BIGC PTTEP คาดรายงานกำไรดีขึ้น y-y q-q) ส่วนหุ้นเข้าใหม่วันนี้ AIRA คาดจะมีโมเมนตั้มบวกจาก IPO (แต่อาจช่วยหนุนกระแสบวกต่อหุ้นโบรกเกอร์อื่นๆ อาทิ TNITY KGI ฯลฯ)
กลุ่ม Domestic Play นำโดยกลุ่มแบงก์ อสังหาฯ วัสดุฯ อาหาร ยังคงเป็นกลุ่มที่นำตลาดปรับขึ้นต่อเนื่อง อิงโมเมนตั้มบวกจากมาตรการปฏิรูปของคสช. โดยเฉพาะแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (โครงการรถไฟรางคู่จะประกาศผู้ชนะประมูล 16 ก.ค.) ขณะที่หุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กและกลาง จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ เนื่องจาก.ค.าดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบหากตลาดหุ้นโลกปรับฐาน เราแนะนำ ซื้อเก็งกำไร PTT ADVANC INTUCH CK SCCC
ปัจจัยต่างประเทศ ประเด็นต่างประเทศ จะกลับมาให้ความสนใจต่อรายงานผลกำไรบจ.สหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มทยอยประกาศตั้งแต่สัปดาห์นี้ (ดูในเล่ม) และการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย พุธที่ 9 ก.ค. โดยจะเป็นปัจจัยบวกหากนายโจโควี วิลโดโด ชนะนายพลปราโบโว ซูเบียนโต อิงตลาดคาดว่าเศรษฐกิจอินโดฯ จะเติบโตสูงจากการปฎิรูปครั้งใหญ่ ความน่าดึงดูดใจของอินโดนีเซียในสายตาของนักลงทุนจากประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐ คือประชากร 240 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รวมถึงชนชั้นกลางที่ขยายตัวมากขึ้น
ปัจจัยในประเทศ ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นของแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวใน 2H57F (สศอ.ระบุดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ฟื้นทะลุ56.6จุด สูงสุดในรอบ12เดือน มั่นใจจีดีพีอุตสาหกรรมสูงกว่าเป้า) ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตารายหลักทรัพย์ สัปดาห์นี้
วันที่ 7 ก.ค. – AAV: Air AsiaX แถลงเปิดเส้นทางบินใหญ่ กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่น เวลา 10.30 น. - SST "ทรัพย์ศรีไทย" และบลจ.วรรณ แถลงเปิดตัวกองทุน เวลา 10.00 น.
วันที่ 8 ก .ค . - Golden Land สัมมนาทิศทางธุรกิจอาคารสำ นักงาน เวลา 10.00 น. - KTC เ ปิ ด ตั ว สิ น เ ชื่ อ ส่ ว น บุ ค ค ล เ ว ล า 13.00 น .
- BAY เ ปิ ด ตั ว ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ท า ง ก า ร เ งิ น เ ว ล า 13.00 น .
วันที่ 9 ก.ค. – MJD "เมเจอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ฯ" เปิดตัวโครงการคอนโด เวลา 13.00 น.
ปัจจัยสนับสนุน
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ช่วยหนุนความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจตั้งแต่ 3Q57F ผ่านพ้นจุดต่ำสุด ขณะทีความเสี่ยงการเมืองลดลงอย่างมีนัย ส่วนปัจจัยผลกำไรบจ.คาดว่าจะมี Upward Revision โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play หลังจากสร้างจุดต่ำสุดใน 2Q57E Earnings (ทยอยประกาศตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป) หนุนการเกิด Re-rate PER (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการรัฐประหารปี 06 หรือวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา)
Event Plays:
1) Earnings Play: เก็งกำไรหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะรายงานกำไร 2Q57F เติบโดสูง อาทิ GOLD TMB BAY KTB SCB BIGC PTTEP SCCC IVL และหุ้นที่มีการปรับประมาณการกำไรดีขึ้น 10% ได้แก่ TRUE CFRESH TRT EA RML MALEE HANA
2) High Dividend Play: หลักทรัพย์ที่มีประวัติการจ่ายปันผลสูงรายปีเฉลี่ยสูงกว่า 3.5% และจ่ายปันผลระหว่างกาลสม่ำเสมอในช่วงกลางปี รวมถึงมี % Upside ต่อราคาเป้าหมาย ได้แก่ TNITY CSL BTS INTUCH ADVANC DTAC TTW TRT PTTGC SAMTEL
3) หุ้นเกาะกระแสฟุตบอลโลก ระหว่าง 12 มิ.ย. - 13 ก.ค. (เราพบว่า ผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่ม ICT(ADVANC TRUE) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค (CPALL MINT CENTEL) จะมีเพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างการถ่ายทอดฟุตบอลโลก
Investment Strategy: เน้นหุ้น Domestic Play ที่ได้รับผลบวกจากนโยบายคสช. รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนประเทศ เราคาดว่าโอกาสสูงที่ดัชนีฯ จะปรับขึ้นไปซื้อขายที่บริเวณ PER 15.5 เท่า (เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี +1.0 SD) อิงระดับ PER ที่มักจะมีการ Re-rate หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้ง โดยคาดว่าระดับดัชนีฯเป้าหมายใหม่จะอยู่ที่ 1537 จุด อิง 14F EPS growth 10.3% (Vs เดิม 1440 จุด อิง P/E 14.4 เท่า เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี +0.5 SD) และอัตราการเติบโตผลกำไรที่ 11.7%) ส่วนวิธี Bottom Upapproach ปรับขึ้นเป็น 1584 จุด (Vs เดิม 1553 จุด)
เทคนิค : ขึ้นสลับย่อ
คาดดัชนีฯ มีโอกาสสูงที่จะสามารถยืนเหนือระดับแนวต้านจิตวิทยา 1500 จุดได้ ในสัปดาห์นี้ โดยมีแนวต้านต่อไปที่ 1520จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1482 จุด อิงสัญญาณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เรียงตัวแบบ Bullish Signal และการปรับขึ้นอยู่ในกรอบ Up Channel อย่างไรก็ดี เราแนะนำเลือกลงทุนเป็นรายหลักทรัพย์ เมื่อดัชนีฯอ่อนตัวอิงสัญญาณ Stoch, MACR, RSI ที่เข้าสู่ภาวะ Overbought Area ส่งผลให้ทุกครั้งที่ดัชนีฯขึ้นแรง จะมีสัญญาณอ่อนตัวทุกครั้งเช่นกัน
+ ตลาดหุ้นโลก: ตลาดหุ้นสำคัญๆ ของโลก ต่างเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฯลฯ หลังจาก รายงานภาคการผลิต การจ้างงานนอกภาคเกษตร-อัตราว่างงานสหรัฐฯ เดือน มิ.ย.ออกมาดีกว่าคาด (288k Vs 213k, 6.1% Vs 6.3%) ขณะที่จีน รายงานภาคการผลิตฟื้นตัวอย่างมีนัย ส่วน ECB คงสัญญาณดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโลกที่พุ่งแรงสัปดาหที่ผ่านมา ได้แก่ NIX +2.27%w-w Nasdaq +2% DAX+1.98% โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 1.25-2%w-w
ส่วนตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับภูมิภาคแล้ว ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดเพียง +0.85%w-w (Vs สัปดาห์ก่อนหน้า +1.09%w-w) แย่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่ม TIPs ที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ +1.76%w-w (Vs +1.65%) และอินโดนีเซีย +1.25%w-w (Vs -0.05%) โดยกลุ่มอุตฯ ที่ปรับขึ้นสูงสุด กลับมาเป็น กลุ่มอิงการบริโภคในประเทศ นำโดยกลุ่มอาหาร +3.58%w-w ธนาคารฯ +3.48% วัสดุก่อสร้าง +2.88% ส่วนกลุ่มอุตฯ ที่ปรับแย่สุด คือ ICT -1.59%w-w ขนส่ง -1.07%
- ตลาดโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง จากวิตกอุปทานล้น หลังลิเบียสามารถเจรจากลุ่มกบฎ เตรียมส่งออกน้ำมันดิบเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และท่อ Seaway Pipeline ที่ใกล้แล้วเสร็จ จะส่งผลให้สามารถส่ง Shale Gas เพิ่ม 4.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ไปยังโรงกลั่น US gulf coast ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบโลกมีจำกัด ขณะที่ราคาทองคำ ทรงตัวในกรอบแคบๆ หลังนักลงทุนยังคงหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ที่ให้ผลตอบแทนสูง ส่วนค่าระวางเรือ กลับมารีบาวด์+7.46%w-w หลังจีนส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว (จาก -8.08%w-w) อย่างไรก็ดี ปัจจัยฤดูกาล ที่ค่าระวางเรือจะอ่อนตัวลงในช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. ส่งผลให้การฟื้นตัวคาดว่าจะมีจำกัด
ประเด็นจับตา
1. ประเด็นการเมือง: จับตาแนวทางการตั้งสภาปฏิรูป และกำหนดเวลานำไปสู่การเลือกตั้ง
ประเด็นการเมือง (Update):
นิด้าโพลเผยปชช.ส่วนใหญ่มองกรอบเวลาปฏิรูปปท. ของคสช. เหมาะสม, คาดการเมืองดีขึ้น อิงผลสำรวจ 1256 ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือ 58.60% เห็นว่ากรอบระยะเวลา 12 เดือนในการปฏิรูปประเทศ และจัดการเลือกตั้งในเดือน ต.ค. 58 ตามโรดแมพของ คสช.มีความเหมาะสม ขณะที่ กลุ่มตัวอย่าง 21.34% ระบุว่า กรอบระยะเวลาดังกล่าว ยาวและช้าเกินไป ส่วนอีก 17.75% ระบุว่า กรอบระยะเวลาสั้นและเร่งรีบเกินไป
"ประจิน"เผย ร่างธรรมนูญชั่วคราวจะคงอำนาจคสช.ทำงานคู่รัฐบาลจนกว่ามีเลือกตั้ง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เผยว่าในหลักการของร่างธรรมนูญ การปก.ค.รองฉบับชั่วคราว จะยังคงอำนาจของคสช. เอาไว้ โดยจะทำงานควบคู่ไปกับ คณะรัฐมนตรี (ครม.), สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จนกว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 58
กกต. วางกม. เลือกตั้งคุมประชานิยมก่อนชงคสช. ที่ประชุมกกต. ก็ได้รับฟังความเห็นจากรองเลขาธิการในทุกด้านกิจการที่ได้นำเสนอประเด็นข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็งของการเลือกตั้งที่ผ่าน และข้อเสนอที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรมแล้ว ซึ่งที่ประชุมเมื่อวาน (3 ก.ค.) ที่ผ่านมาได้พิจารณาเรื่องต่างๆ ไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ โดยโจทย์ 6 ข้อที่คสช.ให้มา ก็พิจารณาไปแล้ว 4 ข้อและได้นัดพิจารณาในส่วนของสำนักงานในช่วงเช้าวันที่ 7 ก.ค.นี้ ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะนำเสนอให้กกต.พิจารณาต่อไป
2. Fund flow Weekly กลับมาซื้อทั้ง Equities & Bond Funds ส่วนไทยมีแรงซื้อคืนครั้งแรก
Recommendation : แนะนำ บจ.คาดว่ารายงานกำไรเติบโตดีหรือมีปันผลระหว่างกาล ได้แก่ KTB TMB PTTEP ADVANC TRUE MINT
Fund Flow: สัปดาห์ที่ผ่านมา (26 มิ.ย. - 1 ก.ค. 57) เงินทุนกลับมาซื้อ Bonds & Equities Funds พร้อมกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสเงินทุนโลกมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยกลับมาซื้อสุทธิ Equities Fund จำนวนเล็กน้อย +$1.3bn. (Vs สัปดาห์ก่อน -$0.6bn. +$12.6bn.+$11.3bn. สะสม YTD +$69.6bn.) และซื้อเพิ่มพันธบัตร +$4.9bn. (สัปดาห์ก่อนหน้า +$4.7bn. -$2.3bn. +$1.6bn. ตามลำดับ สะสม YTD+$104.2bn.) ทั้งนี้ EPFR พบว่า ในช่วง 7 จาก 11 สัปดาห์ล่าสุด การลงทุนใน Bond Funds มีแรงซื้อสุทธิสูงเป็น 2 เท่า ของ Equities Funds ( $48bn. Vs $25bn.)
ตลาดหุ้น USA มีแรงซื้อต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่6 ด้วยจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น +$3.1bn. (Vs สัปดาห์ก่อน+$1.5bn.+$5.3bn. +$10bn.) ส่งผล 1H57 มีแรงซื้อสะสม +$74bn.(Vs +$90bn. ใน 1H56) ขณะที่ตลาดหุ้น Europe กลับมาซื้อคืน(เป็นการซื้อสัปดาห์ที่ 52 ในรอบ 53 สัปดาห์) จำนวน +$1.3bn. Vs สัปดาห์ก่อน -$1.2bn. +$1.4bn. +$2.9bn +$1.1bn.) สะสมสุทธิ $100.1 bn.
ส่วนกองทุน GEM มีแรงซื้อต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 12 ในรอบ 14 สัปดาห์ แต่ด้วยปริมาณเบาบา +$0.5bn. (Vs สัปดาห์ก่อนหน้า +$445mn +$643mn. +$2.3bn. ตามลำดับ) โดยมีแรงซื้อใน Emerging Asia Ex-Japan +$0.5bn. และออกจาก EMEA funds -$0.45bn.
6 ชาติเอเชียฯ มีแรงซื้อต่อเป็นสัปดาห์ที่ 8 ด้วยปริมาณสุงสุดรอบ 6 สัปดาห์
สำหรับ 6 ชาติในเอชียไม่รวมญี่ปุ่น พบว่า มีแรงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 8 ด้วยปริมาณสุงสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ +$2.0bn..(Vsสัปดาห์ก่อนหน้า+$240mn. +$1.6bn. ตามลำดับ) โดยมีแรงซื้อเฉลี่ย+$1bn. ในตลาดหุ้น ไต้หวัน (ซื้อเป็นสัปดาห์ที่ 20 สะสม $10.8bn.) และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (Vs ขาย 2 สัปดาห์ -$152mn. -$93mn.) ขณะที่ตลาดหุ้นกลุ่ม TIPs มีแรงซื้อคืนรวมกันกว่า +$300mn. (ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อคืน +$133mn. Vs สัปดาห์ก่อนหน้า -$184mn. -$180mn..ตามลำดับ )
สัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นยุโรป ส่งผลให้ บลจ.ทิสโก้ ออกกองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% 2 ซึ่งเป็นทริกเกอร์ฟันด์ ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนี ตั้งเป้าผลตอบแทนที่ 8% ภายในเวลา 8 เดือน โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 8-18 ก.ค.นี้ "เศรษฐกิจโลกยังคงมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยแนะนำให้เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมัน เนื่องจากเศรษฐกิจเยอรมัน ฟื้นตัวชัดเจนกว่าประเทศอื่นในยุโรปและแนวโน้มการแข็งค่าของค่าดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับการฟื้นตัวของการลงทุนในสหรัฐ จะช่วยเพิ่มอุปสงค์ของสินค้าอุตสหากรรมจากเยอรมนีได้ และสนับสนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทในเยอรมนี ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
+/-3. Earnings Results: คาดการณ์ผลกำไรบจ.ไทย 2Q57F พบว่า แบงก์ทิสโก้จะประกาศงบวันแรก 10 ก.ค. แต่บจ.ที่คาดว่าจะรายงานกำไรเติบโตดีขึ้น y-y q-q ได้แก่ TMB BAY SCB KTB BIGC PTTEP
+/-ผลการดำเนินงาน 2Q57F ของบจ.สหรัฐฯ : จะทยอยประกาศตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ที่น่าสนใจได้แก่ ALCOA (8/7) Wells Fargo(11/7) Citigroup(14/7) Goldman Sachs, J&J ,Intel, Yahoo(15/7)
-4. กลุ่มหลักทรัพย์ - คาดรายงานกำไรบจ.2q57F ลดลงเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อิงมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดฯ ลดลง 30.63% y-y เป็น 40,636 ล้านบาทต่อวัน (Vs 58,576 ล้านบาท) ทั้งนี้ TNITY เป็นโบรกเกอร์เดียวที่มีวอลุ่มซื้อขายดีขึ้น 70.34%y-y รองลงมาคือ CIMBS +2.06%y-y ไม่รวม 3 โบรกเกอร์ใหม่ ขณะที่ AIRA ที่เข้าซื้อขายสัปดาห์นี้ มีวอลุ่มซื้อขาย 2Q57 ลดลง 37.5%y-yสะท้อนการปรับขึ้นของราคาหุ้นอาจจะมีจำกัด อย่างไรก็ดี ประเด็นเชิงบวกต่อผลกำไรบล. คือ บล.ที่มีพอร์ตลงทุน อาทิ KGI PHATRA ASP ฯลฯ คาดว่าจะมีรายได้จากพอร์ตลงทุนมาช่วยชดเชย อิงดัชนีตลาดฯ 2Q57 เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 7.96%q-q (Vs 2Q56 ดัชนีฯ -8.17%q-q) รวมถึงการมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ(IPO) ทั้งนี้ เราคาดว่ากลุ่มหลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะมีรายได้ดีขึ้นตั้งแต่ 2H57F เป็นต้นไป อิงทิศทางดัชนีฯที่ยังคงมี Upside Risks และการกลับมาซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ สำหรับการลงทุนระยะสั้น
เราแนะนำ TNITY TP 8.86 บาท จาก.ค.าดว่าจะเป็นหลักทรัพย์ที่รายงานกำไรเติบโตดีขึ้น y-y สวนทางบล.อื่นๆที่รายงานกำไรลดลง
+/- 5.รายงานเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้ :
จันทร์: Japan: Leading Index พ.ค. คาด 106 (Vs 106.5) Germany: Industrial Production พ.ค. คาด 3.8%y-y(Vs 1.8%) Spain:Industrial Production พ.ค. 8kf +3.7%y-y (Vs 4.3%)
อังคาร: USA: Consumer Credit พ.ค. +$18bn(Vs +26.8bn) Japan-C/A พ.ค. คาด +447.5bn เยน (Vs +187.4bn เยน) Germany: ดุลการค้า พ.ค. คาด +16bn.ยูโร (Vs +17.4bn)
วันพุธ: USA รายงานประชุม FOMC Meeting ล่าสุด และ China CPI มิ.ย. คาด +2.4%y-y (Vs 2.5%)
วันพฤหัสบดี: Chian ดุลการค้า มิ.ย. คาด +$35bn. ส่งออก +10.4%y-y นำเข้า +6%y-y BoE:Central Bank Meeting คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5%
ศุกร์: Germany CPI พ.ค. คาด +0.4%m-m
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจวันทำการผ่านมา:
อินโดนีเซีย: "โจโค วิโดโด"ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้อภิปรายหาเสียงในโค้งสุดท้ายจะปฏิรูประบบราชการเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศตกอยู่ในมือคนบางกลุ่มเท่านั้น ขณะที่ผู้ท้าชิงคู่แข่งอย่างปราโบโว สุบิอันโต สัญญาว่าจะพลิกโฉมอินโดนีเซียให้เป็นประเทศอันมีเกียรติทั้งนี้ คะแนนนิยมของผู้สมัครทั้งสองเริ่มสูสีมากขึ้น หลังจากโจโคได้รับความนิยมทิ้งห่างจากปราโบโวอย่างสูงในช่วงแรกของการหาเสียง โดยชาวอินโดนีเซียจะเข้าคูหาเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในวันพุธนี้ หลังจากประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโดห์โยโน หมดวาระดำรงตำแหน่งในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ
Global Momentum
+ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันชาติ
วันทำการที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการ เนื่องในวันชาติสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000 และปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์+1.3%, ดัชนี S&P 500 +1.25% และดัชนี Nasdaq +2%กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่ม 288,000 ตำแหน่ง ในเดือน มิ.ย. สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 212,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานลดลงสู่ 6.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2008 ซึ่งยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2
- ตลาดหุ้นยุโรป ปิดคละ
วันทำการที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยุโรป FTS Eurofirst 300 ปิดลดลงเล็กน้อย -0.3%d-d แต่ปรับขึ้นรายสัปดาห์ +1.7%w-w โดย FTSE ปิดเพิ่มขึ้น 0.84 จุด หรือ 0.01% สู่ 6,866.05 จุด ดัชนี CAC40 ปิดลดลง 20.90 จุด หรือ -0.47% สู่ 4,468.98 จุด และ DAX ปิดลบ 20.35 จุด หรือ -0.20% สู่ 10,009.08 จุด เป็นผลจากแรงขายทำกำไรกลุ่มแบงก์ หลัง Erste Bank ของออสเตรีย เตือนถึงผลกำไรที่แย่กว่าคาด
-ราคาน้ำมันดิบ ลดลง จากกังวลภาวะอุปทานล้น
วันทำการที่ผ่านมา Brent ส่งมอบ ส.ค. ปิดลดลง 0.42 ดอลลาร์ สู่ 110.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากแนวโน้มการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรลต่อวันของลิเบีย ที่สามารถตกลงกันได้กับกลุ่มกบฎ ส่วน Nymex ส่งมอบ สค. ปิดลดลง 0.29 ดอลล์ต่อบาร์เรล เป็น $103.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) จากข่าวท่อ Seaway Pipeline ที่ใกล้แล้วเสร็จ จะส่งผลให้สามารถส่ง Shale Gas เพิ่ม 4.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ไปยังโรงกลั่น US gulf coast ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบโลกมีจำกัด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดิ่งลงมาแล้วกว่า 5 ดอลลาร์จากจุดสูงสุดรอบ 9 เดือนที่ 115.71 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในวันที่ 19 มิ.ย. ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปิดตลาดในแดนลบถึง 11 วันในช่วง 14 วันทำการที่ผ่านมา และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการดิ่งลง 1.86 % จากสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาน้ำมันดิบรูดลง 3 % ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
+ราคาทองคำ ปิดตลาดขยับขึ้นเล็กน้อย
วันทำการที่ผานมา ราคาสัญญาทองเดือน สิงหาคม ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.70 ดอลล์ เป็น 1321.30 ดอลล์ต่อออนซ์ จากการกลับมาแข็งค่าของเงินสกุลดอลล์ หลังรายงานตัวเลขจ้างงานดีกว่าคาด
+ ดัชนีค่าระวางเรือ Baltic Dry Index ปรับขึ้นเล็กน้อย
วันทำการที่ผานมา ดัชนี Baltic Dry Index ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3 จุด เป็น 893 จุด หลังจาก ปี 56 พิ่มขึ้น +28.14%y-y เป็น 2227 จุด (จาก 1738 จุด ณ สิ้นปี 55) โดยระดับสูงสุดอยู่ที่ 2337 จุด เมื่อ 12/12/56 และระดับต่ำสุดอยู่ที่ 698 จุดเมื่อ 2/1/56 ขณะที่ระดับสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 11793 และระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 554 กลุ่มเรือ (Shipping) คาดผ่านจุดต่ำสุด Bottom Out และฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก (แนะนำ เก็งกำไร PSL TP Consensus 22.84-27.25 บาท TTA TP Consensus 22.83-27.25 บาท)
ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย, no. 14501 [email protected] 02-624-6244
ธิดารัตน์ ผโลดม, no. 16564 [email protected] 02-624-6270