- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 December 2015 16:30
- Hits: 1195
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ลุ้นบวกปิดท้ายปี"
Stock Picks-Dec 2015 : Fundamental : CPN, INTUCH, KBANK, MTLS, TCAP และ Dark Horse เป็น ANAN, TASCO
Fundamental Pick -Today: VNG
ดูรายละเอียดในหน้า 3
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TRUE 13%, M 11%
Technical View ภาพตลาดพลิกเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1290-1300 หลุด 1275
SET50 ซื้อค่าบวก 820-830 หลุด 810
Technical Picks- Today : MTLS, LH, VNG, TOP, LPH, LIT, VIBHA, ASEFA
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดแกว่งแคบและการซื้อขายไม่มากเพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ปิดตลาดดัชนี -2.09 จุดที่ 1283.78 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิ 3.6 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อ 1.2 พันล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ นักวิเคราะห์ในต่างประเทศ ประเมินว่าตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายปลายปีมักจะมี "ซานตาครอส แรลลี่" เกิดขึ้น โดยในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐช่วงปี 1928-2014 พบว่าดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเฉลี่ย +1.3% ในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปี ส่วนของไทยมีแรงซื้อ LTF & RMF ช่วยหนุนด้วย
ส่วน January Effect ก็มีน้ำหนักลดน้อยถอยลง โดยผลการศึกษาของ Quant Team Thailand พบว่า Return ของเดือนม.ค.เฉลี่ยย้อนหลัง 17 ปีของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ +2.4% และในช่วง 10 ปีย้อนหลัง -1.2%
กลยุทธ์การลงทุนโดยภาพรวมจึงเน้นซื้อจังหวะอ่อนตัว โดยเป็นการเลือกซื้อรายบริษัท (Selective Buy) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น VNG
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นลบเล็กๆ แต่ก็มีลุ้นขยับขึ้นปิดงวดสิ้นปี การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบของ SET Index หรือต่ำกว่า 1275 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1290-1300, 1310 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น VIBHA, LPH, LIT และหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ CK, SPRC, ERW, PLANB, IRPC, BCH ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ Take Profit เป็น GL, MTLS, EPG, JWD
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคธ.ค.เพิ่มเป็น 96.5 จาก 92.6 ในพ.ย. เพราะภาคแรงงานฟื้นตัวแข็งแกร่งและเศรษฐกิจเติบโตดีกว่าคาด
+ สหรัฐ : ดัชนีราคาบ้านต.ค.เพิ่มขึ้น 5.2%YoY เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวช่วยหนุนดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัย คาดว่าการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2016 จะทำให้การเพิ่มขึ้นของราคาบ้านน้อยลง ซึ่งเฟดอยากให้เป็นไปในทิศทางนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์ +192.71 จุด (+1.1%) ตอบรับการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบในช่วงสั้น และรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเดือนธ.ค.หนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก นักวิเคราะห์บางรายประเมินว่าเป็น ซานตาครอส แรลลี่ เพราะโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1928-2014 ดัชนี S&P 500 จะให้ Return +1.3% ในช่วง 5 วันซื้อขายสุดท้ายของปี
+ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ เพราะคาดว่าสต็อกน้ำมันสหรัฐจะลดลง โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบก.พ.2016 ปิด +1.06 และ +1.17 ดอลลาร์ที่ 37.87 และ 37.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาทองคำทรงตัว โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.ปิด -0.30 ดอลลาร์ที่ 1068.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+/- ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหุ้นที่เข้า/ออกจากการคำนวณใน SET50 และ SET100 มีผลบังคับใช้ 4 ม.ค.-30 มิ.ย.2016 ดังนี้
# หุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET50 : BLA, SCCC, TASCO
# หุ้นที่ถูกตัดออกจาก SET50 : BMCL, RATCH, THCOM
# หุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET100 : BLA, CHG, EPG, GL, GPSC, PLANB, PLAT, PTG, SAMTEL, SCCC, SCN, TASCO, VNT, WORK
# หุ้นที่ถูกตัดออกจาก SET100 : ASP, DEMCO, ERW, GFPT, GLOBAL, LOXLEY, MC, MONO, PSL, RATCH, SAPPE, SF, SGP, U
ทั้งนี้การเลือกหุ้นเข้า/ออกจาก SET50 และ SET100 พิจารณาจากมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด (Market Cap) มูลค่าและปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก ไม่อิงกับปัจจัยพื้นฐานโดยตรง แต่หุ้นใดถูกคัดเลือกเข้าคำนวณใน SET50 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น และหุ้นที่ถูกตัดออกก็อาจถูกลดน้ำหนักการลงทุนถ้าแนวโน้มธุรกิจอ่อนแอ
+ TASCO (ราคาปิด 38.75 บาท) : คาดกำไรสุทธิปี 2016 ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากอุปสงค์ยางมะตอยของภูมิภาคอยู่ในระดับสูง และการก่อสร้างและขยายถนนในไทยก็ช่วยหนุนด้วย บริษัททำสัญญาระยะยาว 10 ปีเพื่อซื้อวัตถุดิบน้ำมันกับผู้ขายในเวเนซูเอลาในราคาที่มีส่วนลดจากราคาปัจจุบันมาก มีแผนการขยายโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซียเป็น 1 แสนบาร์เรล/วัน (จากปัจจุบันที่ 3 หมื่นบาร์เรล/วัน) และประกาศดีลซื้อกิจการถึง 5 แห่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องด้านยางมะตอย มูลค่าดีลประมาณ
2.2 พันล้านบาท (แหล่งเงินมาจากเงินกู้และกระแสเงินสดภายใน) รวมทั้งธุรกิจเรือขนส่งจาก COLAS S.A. ช่วยสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว บริษัทมีเรือขนส่งยางมะตอย 12 ลำ (จาก 40 ลำในภูมิภาค) ทำให้มีความได้เปรียบในการทำธุรกิจ และอุปทานเรือใหม่ยังไม่เข้ามาเร็ว เนื่องจากการต่อเรือใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 47 บาท อิงกับ P/E ปี 2016 ที่ 13 เท่า (Mean+1SD) โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2015-2016 ไว้ใกล้เคียงกันที่ปีละ 5.6 พันล้านบาท (EPS : 3.6 บาท/หุ้น) ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2016 เท่ากับ 10.8 เท่า, EV/EBITDA 8.7 เท่า
January Effect : มีผลต่อตลาดหุ้นไทยลดน้อยถอยลงในช่วงปี 1998-2015 จากการศึกษาของ Quant Team Thailand พบว่าผลของ January Effect ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมีน้ำหนักน้อยลง โดยอัตราผลตอบแทนของ SET ในเดือนม.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ +2.4% แต่หากคิดย้อนหลัง 10 ปี พบว่าจะติดลบเฉลี่ยที่ -1.2%
สำหรับ FTSE Small Cap พบว่าเดือนม.ค.ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า SET Index โดยอยู่ที่ +4.8% แต่ก็ถดถอยลงเช่นกัน ด้าน MSCI Asia ex Japan ให้อัตราผลตอบแทนเดือนม.ค.เฉลี่ยติดลบเล็กน้อยที่ -0.5% ผลการศึกษาข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า January Effect ไม่ได้มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอัตราผลตอบแทนค่อนข้างผันผวน
JAS (ราคาปิด 3.26 บาท) : เจรจาเช่าเสาโทรคมนาคมของ CAT คืบหน้าแล้ว 50% ในเบื้องต้นจะเช่า 1-1.3 พันต้น คาดว่าจะสรุปผลเจรจาได้ภายในม.ค.2016…แม้ว่า JAS จะเช่าเสา CAT ได้ แต่การดำเนินธุรกิจให้สำเร็จต้องใช้เวลา คาดว่าในช่วง 2-3 ปีแรกบริษัทจะยังขาดทุนในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพราะฐานลูกค้ายังต่ำมากเนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ ขณะที่มีค่าตัดจำหน่ายค่าใบอนุญาตปีละประมาณ 5 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจบรอดแบนด์จะมีการแข่งขันมากขึ้นจากค่าย TRUE และ ADVANC ซึ่ง ADAVNC กำลังเร่งลงทุนด้านนี้ (มีเงินลงทุนพร้อม จากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz เพราะแพ้ประมูล TRUE & JAS) คำแนะนำเป็น Not Rated แต่มีมุมมองที่เป็นลบ
DIF (ราคาปิด 12.30 บาท) : หาก JAS เช่าเสา CAT ก็อาจไม่เช่าจาก DIF อย่างที่คาดการณ์กันก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้การเติบโตของกำไร DIF จะไม่มีส่วนเพิ่มจากที่เราคาดการณ์ไว้ที่ +14% ในปี 2016 ณ ราคาปิด 12.30 บาท ให้ Dividend Yield ปี 2016 เท่ากับ 7.9% ยังคงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 14.80 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# VNG (ราคาปิด 14.10 บาท) : ราคาน้ำมันต่ำเป็นบวกกับบริษัท
ราคาน้ำมันต่ำเป็นบวกกับผลประกอบการบริษัท เนื่องจากมีสัดส่วนต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่แฝงอยู่ในต้นทุนวัตถุดิบ (ค่าขนส่งเศษไม้) และค่าพลังงานในกระบวนการผลิต รวมทั้งมีการใช้เคมีภัณฑ์ในการผลิตซึ่งราคาเคมีภัณฑ์ก็อิงกับราคาน้ำมันด้วย
ค่าเงินบาทที่แกว่งในระดับ 36+/- บาท/ดอลลาร์สหรัฐอยู่ในเกณฑ์ที่หนุนผลประกอบการได้ดี ทั้งนี้การแข็ง/อ่อนค่าของเงินบาทแบบค่อยเป็นค่อยไปจะส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่มาก เนื่องจากสามารถปรับราคาซื้อวัตถุดิบและราคาขายให้สอดคล้องกับค่าเงินได้ แต่ถ้าค่าเงินบาทผันผวนอย่างรวดเร็วและแรงจะส่งผลกระทบมากเพราะปรับตัวไม่ทัน
คาดกำไรสุทธิปี 2016 เติบโตได้ดี จากการใช้กำลังการผลิต Laminate Flooring ได้เพิ่มขึ้น หลังขยายกำลังการผลิตจาก 6 เป็น 10 ล้านตรม./ปีใน 3Q15 และมีมาร์จิ้นโดยรวมที่ดีจากการ Switch สายการผลิต Particle เป็น MDF ซึ่งมีอัตรากำไรดีกว่า 3 แสนลบม./ปี ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ต้น 2Q16
ปี 2017 ขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพราะมีการขยายกำลังการผลิตคอขวดทั้งใน Particle และ MDF รวมทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (แผ่นพื้นปิดผิวด้วยไม้จริง) ด้วย
มีแผนสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 9.9 MW ขณะนี้อยู่ในช่วงรอการเปิดประมูลของรัฐบาล แต่บริษัทได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว เช่น การตั้งบริษัทย่อย, จัดหาที่ดิน, จัดหาเงินลงทุน 70-80 ล้านบาท/MW หรือราว 800 ล้านบาท (โครงการมี D/E Ratio ที่ 2 : 1) ส่วนการจัดหาเครื่องจักร อยู่ระหว่างดำเนินการ โครงการนี้จะใช้วัตถุดิบจากเปลือกไม้และขี้เลื่อยในโรงงานที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งบริษัทมี 60% ของที่ต้องใช้ในโครงการ และซื้อจากข้างนอก 40% ถ้าภาครัฐเปิดประมูลในต้นปี 2016 ก็จะขายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 2H17 (เรายังไม่รวมโครงการนี้ไว้ในประมาณการ)
แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 15.80 บาท อิงกับ P/E ปี 2016 ที่ 15 เท่า (ไม่รวมธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2015 เติบโตก้าวกระโดด 100% แล้วขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วงปี 2016-2017
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
# Turnover List Watch: คาด KOOL เข้าเกณฑ์ ส่วน APCS ถูกต่ออายุ ลุ้น SR วันนี้
คาดว่าหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ติด cash balance 6 สัปดาห์ ประกาศเย็นวันนี้ หลังตลาดปิดทำการคือ KOOL ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดฯ MAI
ส่วนหลักทรัพย์ที่ถูกต่ออายุการใช้ Cash Balance วานนี้คือ APCS เริ่ม 30 ธ.ค58-19 ม.ค.59
สำหรับหลักทรัพย์ที่จะหมดการใช้ Cash Balance วันนี้ อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้าแต่ควรระวังเรื่องตลาดฯอาจจะกลับมาต่ออายุการใช้ Cash Balance คือ SR
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]