- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 December 2015 16:06
- Hits: 952
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET แกว่งทรงตัวเพื่อรอลุ้นขยับขึ้นต่อตามคาดเร็วๆ นี้...
กลยุทธ์ : SET ยังแกว่งตัวผันผวนและปรับพักตัวลงอีกครั้งวานนี้ แต่กรอบพักตัวยังค่อนข้างจำกัดอยู่ภายในกรอบแกว่งเดิม ซึ่งถือว่ายังทรงตัวได้ดี ทำให้ FSS คาดว่า SET ยังมีโอกาสกลับไปขยับบวกต่อขึ้นได้ตามคาดในเร็วๆ นี้ ดังนั้นเรายังแนะนำถือต่อเนื่อง เพื่อรอลุ้นขายในจังหวะบวกแรงดีกว่า แต่ไม่แนะนำให้ซื้อในลักษณะไล่ราคาช่วงบวก เพราะตลาดยังมีความเสี่ยงสูงที่จะมีจังหวะแกว่งตัวผันผวนเป็นระยะ
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TVT, FPI, THAI(buy back)
แนวโน้ม : SET แกว่งพักตัวลงอีกเมื่อวานนี้ แต่ก็มีลักษณะทรงตัวอยู่ภายในกรอบแกว่งเดิมตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีมีจังหวะรีบาวด์กลับมาปิดสิ้นวันเป็นลบน้อยลงได้ด้วย ซึ่งเช้านี้ยังได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากการขยับขึ้นของตลาดหุ้นเอเชียอีก หลังจากเมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปสามารถพลิกกลับมาแกว่งตัวบวกและปิดเป็นบวกได้ดีถึงกว่า 1% กันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสามารถดีดกลับขึ้นได้แรง ชดเชยการปรับตัวลงแรงวันก่อน รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐยังมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มค้าปลีกและเทคโนโลยีอย่างคึกคัก หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่งกว่าคาด ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อในตลาดหุ้นไทยได้ต่อ ทำให้ FSS ยังคาดหมายว่า SET น่าจะสามารถขยับบวกต่อเนื่องขึ้นไปเคลื่อนไหวสูงกว่า 1300 จุดได้ในช่วงถัดจากนี้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นถือไว้ก่อนเช่นเดิม แต่เนื่องจากยังต้องระวังการแกว่งตัวผันผวนของตลาดอยู่ จึงไม่แนะนำให้ซื้อในลักษณะไล่ราคา เพราะความเสี่ยงยังสูง
แนวรับ 1282-1278 , 1275-1270 จุด
แนวต้าน 1286-1288 , 1294-1300 จุด
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$72 ล้าน นำโดยไทย US$99.2 ล้าน ซึ่งกลับมาไหลเข้าเป็นวันแรกในเดือนนี้ (ส่วนใหญ่เป็นการซื้อ Big lot ในกลุ่มพลังงาน) และฟิลิปปินส์ US$20.4 ล้าน ขณะที่ไหลออกเกาหลีใต้ US$30.8 ล้าน และไต้หวัน US$14.6 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกแต่น่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากใกล้เทศกาลหยุดปีใหม่ และกลุ่มพลังงานฟื้นตัวขึ้น
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) เราประเมิน SET Target ปี 2016 ที่ 1,500 จุด บนสมมติฐานกำไรสุทธิของบจ.เติบโต 26% Y-Y ซึ่งไม่ได้น่าดีใจเพราะเป็นการโตจากฐานต่ำปี 2015 ที่คาดว่ากำไรจะลดลง 3% Y-Y และอิง PE 16 เท่า ทั้งนี้ หากตัดกลุ่มพลังงานออกไป เราพบว่ากำไรของตลาดในปี 2016 โต 10% Y-Y กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำได้แก่กลุ่มรับเหมา วัสดุก่อสร้าง แบงก์ โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะ perform ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ การเลือกหุ้นแบบ bottom-up น่าจะเหมาะสมกว่า หุ้นที่เราชอบได้แก่ ASEFA, BIG, EPG, TACC, MTLS, BEM, MINT, CK, KBANK
(+) January effect จากสถิติ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า SET Index สิ้นเดือน ม.ค. ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.7% M-M ความผันผวนมักอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกโดยดัชนีปรับลง 2-4% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ผู้ที่ขายหลักพบว่าเป็นต่างชาติเฉลี่ยประมาณ 5 พันกว่าล้านบาท ขายต่อเนื่องจากเดือน ธ.ค. ขณะที่กองทุนเป็นผู้ซื้อเฉลี่ย 2.7 พันล้านบาท
(0) มุมมองกลุ่มแบงก์ปี 2016 เราคงน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral โดยคาดว่ากลุ่มแบงก์จะกลับมาน่าสนใจในครึ่งหลังของปี 2016 หลังเห็นความชัดเจนของการลงทุนภาครัฐมากขึ้น รวมถึงขนาดของ NPL เราคาดหวังสูงต่อผลประกอบการที่น่าจะดีขึ้นใน 2H16 ซึ่งจะทำให้กำไรทั้งปี 2016 โต 6.5% Y-Y แต่เนื่องจากมุมมองปัจจุบันตลาดยังรอปัจจัยบวกหลายประการ รวมถึงกำไร 4Q15 ที่ยังน่าผิดหวัง การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงเป็นทยอยสะสม โดยเฉพาะราคาหุ้นตอนนี้ที่ซื้อขายที่ PBV 1.05 เท่า ต่ำกว่า -1.5SD ที่ 1.26 เท่าและค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2010-ปัจจุบัน) ที่ 1.75 เท่า ถือว่าถูกมาก เราเลือก KBANK (ราคาเป้าหมาย 210 บาท) เป็น Top pick ในกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ และหุ้นขนาดกลางคือ TMB (ราคาเป้าหมาย 3.04 บาท) และ TCAP (ราคาเป้าหมาย 43 บาท)
(+) TACC เรามีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรปี 2016 ขึ้นจากเดิมจากการที่ TACC ได้สิทธิเป็น Fixed Supplier โถกดเครื่องดื่มตัวที่ 3 ในร้าน 7-11 เพิ่มขึ้นจาก 2 โถกดเดิม ทำให้บริษัทกลายเป็น Supplier หลัก 3 ใน 4 โถกดของร้าน 7-11 ทั่วประเทศ ล่าสุดได้เริ่มส่งสินค้าสำหรับโถกด 3 ไปแล้วกว่า 5,700 สาขา และคาดเพิ่มเป็น 7,000 สาขาในปี 2016 ซึ่งน่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นปีละ 300 ล้านบาท นอกเหนือจากการเพิ่มสินค้าใหม่เครื่องกดเครื่องดื่มร้อนแบบอัตโนมัติที่ตั้งเป้ากระจายไปในร้านสะดวกซื้อให้ครบ 1,500 แห่งภายในปี 2017 รายได้ปี 2016 จากเดิมที่เราคาดว่าจะโต 17% Y-Y อาจเพิ่มขึ้นเป็น 40-43% Y-Y ส่วนกำไรเป็นไปได้ว่าอาจโตถึง 60-70% Y-Y สูงกว่าเดิมที่คาดโต 30% Y-Y เพราะต้นทุนคงที่ไม่เพิ่ม หากอิง PE 30 เท่าเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มที่เข้ามาเทรดในตลาดในปีแรก จะได้เป้าหมายใหม่ 6 บาท เพิ่มจากเดิมที่ 4.25 บาท
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกกลับมาปิดพุ่งขึ้นถึง 192.71 จุดหรือคิดเป็น 1.1% โดยมาปิดที่ 17720.98 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นได้ดีอีกครั้ง รวมทั้งแรงซื้อในหุ้นกลุ่มค้าปลีกและเทคโนโลยีที่ช่วยหนุนตลาดด้วย
(+) ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดบวกกว่า 1% เช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่
(+) ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในด้านบวกได้ดีขึ้น หลังจากช่วง 2 วันที่ผ่านมามีลักษณะแกว่งตัวผันผวนไร้ทิศทาง
(-) ค่าเงินบาทยังทรงตัวด้านอ่อนค่าอยู่ โดยแกว่งในกรอบจำกัดระหว่าง 36.00-36.13 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. พลิกกลับมาปิดเป็นบวก 1.06 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 37.87 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2
ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ยังปรับลดลงอีก 0.3 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1068.0 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นอีก รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลง และสนใจในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
30 ธ.ค. - ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำการ
- ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน พ.ย.
- สหรัฐ: Pending home sales (พ.ย.)
31 ธ.ค. - ตลาดหุ้นที่ปิดทำการวันนี้: ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และไทย
1 ม.ค. - ไทย: ตลาดหุ้นปิดทำการ
- จีน: Manufacturing and Non-Manufacturing PMI (ธ.ค.)
4 ม.ค. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
- จีน: Caixin China PMI Mfg (ธ.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (ธ.ค.), อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
6 ม.ค. - จีน: Caixin China PMI Composite (ธ.ค.)
- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน (ธ.ค.), คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (พ.ย.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (ธ.ค.)
7 ม.ค. - สหรัฐ: รายงานการประชุม FOMC ของวันที่ 15-16 ธ.ค.
8 ม.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ธ.ค.)
- สิงคโปร์: 4Q15 GDP
- สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ธ.ค.)
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch