WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

ซื้อตามด้วยค่าบวก/ถือต่อถ้าไม่หลุด 1275
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
     ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 9.65 จุด ที่ 1284.15 หนุนโดยการดีดขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบรีบาวด์รวมถึงการซื้อกลับหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะที่มีปันผลสูง เช่น ADVANC, INTUCH, DTAC เป็นต้น ส่วนภาพรวมตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา แต่มีแรงซื้อ LTF & RMF และการทำ Window Dressing ช่วยพยุงตลาดไว้ ทั้งนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิต่อ ขณะที่ต่างชาติเดินหน้าขายสุทธิ ส่วนรายย่อยพลิกเป็นขายทำกำไร (เล่นสั้น)

      แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขยับขึ้นได้ในช่วงนี้ แต่เรายังให้ระมัดระวังการลงทุน เพราะอาจมีความผันผวนตามมาหลังจบรายการซื้อ LTF & RMF, การทำWindow Dressing และมาตรการกระตุ้นจับจ่ายใช้สอยระยะสั้นช่วง 25-31 ธ.ค.2015 เนื่องจากผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยใน 4Q15 ยังถูกกดดันจากผลขาดทุนในสต็อกของหุ้นกลุ่มพลังงาน และทำให้ EPS ตลาดหุ้นไทยปีนี้จะติดลบต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งนี้ DBSV ประเมินว่ากำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยปี 2015 จะ -12% ต่อเนื่องจาก -15% ในปี 2014 ส่วนในปี 2016 คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 17% ซึ่งหากให้เป้าหมายของ Forward P/E ปีหน้าที่16.5 เท่า จะได้เป้าหมาย SET Index ที่ 1302 จุด มี Upside จากระดับปิดเมื่อวานนี้เพียง 1.4% นอกจากนั้นในปีหน้ายังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของ Fund flow เมื่อเฟดทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายระลอกด้วย กลยุทธ์การลงทุน : ยังคงเน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัท สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น KTC

      วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบของ SET Index หรือต่ำกว่า 1275 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1290-1300, 1310 จุดส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น AMATA, PLANB, COM7 และหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ MTLS, BLA, CK, SPRC, ERW, TCAP

ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- สหรัฐ : ยอดขายปลีกธ.ค.ไม่ค่อยคึกคัก ดัชนีเรดบุ๊คระบุว่ายอดขาย 3สัปดาห์แรกของเดือนธ.ค.-0.7% แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะ -0.2%

+ สหรัฐ : ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ก่อน ลดลง5,000 ราย สู่ระดับ 267,000 ราย ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 270,000 ราย บ่งชี้ว่าภาคแรงงานสหรัฐมีการฟื้นตัวแข็งแกร่ง

• ตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัวเล็กน้อย โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด -50.44 จุดหรือ -0.29% เนื่องจากมีแรงขายหุ้นกลุ่มค้าปลีกและขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานที่เด้งขึ้นมาก่อนวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส

+ ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นต่อ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.2016 ปิด +0.60 และ 0.53 ดอลลาร์ ปิดที่ 38.10 และ37.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงเกินคาดในสัปดาห์ก่อน (ล่าสุดเป็น 484.8 ล้านบาร์เรล)อย่างไรก็ตาม น่าจะปรับขึ้นจำกัดเพราะปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐยังคงสูงที่ 9.179 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ก่อน และการผลิตของกลุ่มโอเปกยังอยู่ทีกว่า 31 ล้านบาร์เรล/วัน

+/• ราคาทองคำรีบาวด์ โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.2016เพิ่มขึ้น 7.6 ดอลลาร์ ปิดที่ 1075.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ในระยะสั้นมากราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แต่แนวโน้มราคาทองคำในปี 2016 ยังไม่สดใส เพราะคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีกหลายระลอกจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางแข็งค่าซึ่งเป็นลบกับราคาทองคำ

• ตลาดหุ้นและโภคภัณฑ์สหรัฐจะปิดทำการในวันที่ 25 ธ.ค.2015เนื่องในวันคริสต์มาส

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
    - กำไร 4Q15 ของตลาดหุ้นไทย : ยังอยู่ในระดับต่ำแต่ดีขึ้นเมื่อเทียบQoQ เราคาดว่ากลุ่มพลังงานจะมีผลขาดทุนจากสต็อกมากใน 4Q15และบางบริษัทอาจมีการบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนอีก สะท้อนราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงต่อเนื่องในไตรมาส 4 ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENTลดลงราว 7 ดอลลาร์ และ 10 ดอลลาร์ หรือ -16%QoQ และ -22%QoQตามลำดับ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้กำไรของตลาดหุ้นไทยใน4Q15 อยู่ในเกณฑ์ต่ำต่อ แต่จะดีขึ้นเมื่อเทียบ QoQ เพราะใน 3Q15 มีผลขาดทุนจาก SSI และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสิ้น 2Q15 เข้ามาด้วย ซึ่งใน 4Q15 ไม่มีผลกระทบสองส่วนนี้หรือถ้าจะมีก็น้อยลงมาก โดยค่าเงินบาทปัจจุบันที่ 36.0 บาท ยังแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดสิ้น 3Q15 ที่ 36.4 บาท/ดอลลาร์สหรัฐเราประเมินว่ากำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยปี 2015 จะ -12% ต่อเนื่องจาก -15%ในปี 2014 ส่วนในปี 2016 คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 17% ซึ่งหากให้เป้าหมายของ Forward P/E ปีหน้าที่ 16.5 เท่า จะได้เป้าหมาย SET Indexที่ 1302 จุด มี Upside จากระดับปิดเมื่อวานนี้เพียง 1.4% โดยรวมทางDBS Group Research จึงให้น้ำหนัก Underweight ตลาดหุ้นไทยใน1Q16

      +/- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ & สื่อสาร 4G : จับตาการปล่อยกู้และพันธมิตรของ JAS ธปท.ประเมินการปล่อยกู้ 4G มีความเสี่ยงไม่มากเพราะการ ชำระค่าใบอนุญาตเป็นการทยอยจ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาเพิ่มในปีที่ 2-4 และมีระยะเวลาในการระดมทุนด้วยวิธีการอื่นเข้ามาช่วยด้วย เช่น การออกหุ้นกู้, การเพิ่มทุนฯลฯอย่างไรก็ตาม เรายังติดตามกรณีของ JAS อยู่ว่าพันธมิตรทางธุรกิจคือใครทั้งนี้ประเมินว่า JAS ต้องการพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแรงเพื่อมาเสริมศักยภาพทั้งด้านการเงิน และธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของบริษัท ถ้าไม่มีพันธมิตรก็อาจทำให้การกู้ยืมเพื่อลงทุนใน 4G มีต้นทุนทางการเงินที่สูงทั้บริษัทกล่าวว่าจะประกาศรายชื่อพันธมิตรได้เร็วๆ นี้ทั้งนี้นายพิชญ์ โพธารามิก กรรมการ JAS Mobile Broadband กล่าวว่าบริษัทจะสนับสนุนการเงินจากธนาคารหลักรายเดียว คือ BBL และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทหัวเว่ย ในการผลิตและติดตั้งโครงข่าย 4G ในอนาคตข้างหน้า โดยหัวเว่ยจะสนับสนุนด้านการเงินในการวางโครงข่ายมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท (ที่มา : ไทยรัฐ)

     AOT (ราคาปิด 348 บาท) : การเปิดบริการสนามบินดอนเมืองอาคาร 2 ไปได้ดี เริ่มให้บริการวันแรก 24 ธ.ค.2015 โดยอาคาร 2 จะรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินในประเทศ (ซึ่งคิดเป็น 70% ของผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินดอนเมืองทั้งหมด)

      แนวโน้มการเติบโตยังไปได้ดี โดยในปี 2017 จะมีกำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก (จากสนามบินภูเก็ต) และในระยะยาวจากโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ทาง DBSV ประมาณการกำลังรองรับผู้โดยสารหลังเปิดภูเก็ตแล้วจะเพิ่มเป็น 101 ล้านคน/ปี จาก 95 ล้านคน/ปี (ในปัจจุบันที่รวมดอนเมืองอาคาร 2 แล้ว) สำหรับสุวรรณภูมิเฟสที่ 2 จะมีกำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 35 ล้านคน/ปี คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในกลางปี2019

     DBSV ประเมินราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน AOT ไว้ที่ 366 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 348 บาท มี Upside เพียง 5% กลยุทธ์การลงทุน รอซื้อจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว

     + KTC (ราคาปิด 91 บาท) : ประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมายขยายมูลค่าของธุรกิจบัตรเครดิต 15% และขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล 15% ในปี 2016ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : กำไรสุทธิปี 2016 อาจเติบโตจำกัดจาก 1) เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเติบโตอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15% อาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี และ 2) การที่ธปท.ขอให้ลดอัตราค่าทวงหนี้ลงจากครั้งละ 250 บาทเป็นไม่เกิน 100 บาทอย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์การตลาดและทีมผู้บริหารของ KTC ทำให้คาดว่าบริษัทจะเติบโตได้ Outperform อุตสาหกรรม และบริหารจัดการด้าน NPLได้ดี (ใน 9M15 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต KTC +12%YoY มากกว่าอุตสาหกรรมที่ +7%YoY โดยมี NPL ratio บัตรเครดิต 1.4% และสินเชื่อส่วนบุคคล 1.0% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่3.4% และ 5.2% ตามลำดับ)นักวิเคราะห์ใน IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานไว้ที่110 บาท (คาดการณ์ EPS ปี 2016 ไว้ที่ 8.6 บาท/หุ้น) มี Upside จากราคาปิดเมื่อวานนี้ 21%

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!