- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 December 2015 17:16
- Hits: 4199
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อใหม่...เน้นตามค่าบวกเท่านั้น
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น (+12.84 จุด ปิดที่ 1274.50) จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อย แต่นักลงทุนต่างชาติยังฉวยจังหวะนี้ขายสุทธิต่ออีก 5.2 พันล้านบาท เพราะหลายสำนักวิจัยฯ ให้น้ำหนัก Underweight ตลาดหุ้นไทยใน 1Q16 เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในโซนแพงอย่างไรก็ดี ระยะสั้นมากตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในโมเมนตัมบวก โดยมีปัจจัยหนุนจากการซื้อ LTF & RMF ไปลดหย่อนภาษีต่อ การรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบหนุน Sentiment หุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยระยะสั้นของรัฐบาล ซึ่งหนุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคให้คึกคักขึ้น แต่เมื่อหมดข่าวตลาดก็อาจจะผันผวนได้อีก สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นฯ และมีสัญญาณทางเทคนิคระยะสั้นดี ได้แก่ BIGC, HMPRO, WORK, KTC, AAV, BA (ดูรายละเอียดได้ในหน้า 2)วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเปลี่ยนเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดีควรลดพอร์ตตามถ้ามีเงินสดในพอร์ตเหลืออยู่น้อย แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1280, 1290 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1250-1240 จุดส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น CK, TCAP, SPRC, ERW และหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ MTLS, BLA, DCC หุ้นที่หลุด List คือ MINT
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่ +4.3%MoM ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ490,000 ยูนิต และช่วง 11M15 ยอดขายบ้านใหม่ +4.5%YoY บ่งชี้ว่ายอดขายบ้านมีแนวโน้มทำสถิติพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคเดือนธ.ค.2015ปรับขึ้นเป็น 92.6 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และดีกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 91.8 และดีกว่าดัชนีในเดือนพ.ย.ที่ 91.3 ทั้งนี้ การบริโภคของสหรัฐคิดเป็น 2 ใน 3 ของGDP โดยปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคคือ ราคาน้ำมันค้าปลีกที่ต่ำ และการจ้างงานที่แข็งแกร่งขึ้น
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อ โดยดัชนี DJIA ปิด +185.34 จุด หรือ
+1.06% เพราะได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น เมื่อราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งกว่าคาดทั้ง GDPGrowth ในไตรมาส 3 และความเชื่อมั่นผู้บริโภค
+ ราคาน้ำมันดิบดีดขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบก.พ.2016 ปิด +1.36 และ +1.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 37.5 และ 37.36ดอลลาร์/บาร์เรล สะท้อนตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐรายสัปดาห์สิ้นสุด 18ธ.ค.ที่ลดลง 5.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 484.8 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่ม 6 แสนบาร์เรล ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ บริษัทผู้ให้บริการแก่อุตสาหกรรมน้ำมัน รายงานเมื่อว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐที่มีการใช้งานปรับลดลง 3 แท่น สู่ระดับ 538 แท่นในสัปดาห์ดังกล่าว
- ราคาทองคำอ่อนลง โดยสัญญาตลาด COMEX ปิดลดลง 5.8 ดอลลาร์หรือ -0.54% ปิดที่ 1068.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีและแข็งแกร่งเกินคาด และค่าเงินดอลลาร์ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกในระยะต่อไปเมื่อเฟดทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2016
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
• S&P ประกาศคงอันดับเครดิตไทย โดยคงระดับเครดิตหนี้ระยะยาวไว้ที่ BBB+ คงอันดับเครดิตหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศรัฐบาลไว้เท่ากับA-2 คงอันดับเครดิตหนี้ระยะยาวที่ระดับ A- และระยะสั้นสกุลเงินบาทของรัฐบาลไว้ที่ A-2 แนวโน้มมีเสถียรภาพ (Stable) บ่งชี้ว่าโอกาสที่ S&P จะเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของไทยภายใน 2 ปีข้างหน้ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ สำหรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 ปีข้างหน้าประเมินไว้ที่ 3-4% ต่อปี
• SAWAD (ราคาปิด 48.75 บาท) : มีรายการเสนอขาย Overnight ให้นักลงทุนรายใหญ่ 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 46.25 บาท รวมเป็นเงิน2,312.5 ล้านบาท เมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค.2015 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ราคาขายมีส่วนลดประมาณ 5% จากราคาปิด 48.75 บาท และมีส่วนลด 12% จากราคาตามปัจจัยพื้นฐานใน IAA Consensus ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 52.44บาท โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2015-2016 ของบริษัทจะขยายตัว 36% และ 35% ตามลำดับ
+ กลุ่มที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภค : ได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลออกเคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้นำค่าซื้อสินค้าและบริการในช่วง25-31 ธ.ค.ไปลดหย่อนภาษีได้แต่ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/คน รวมทั้งมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาปรับลดอัตราภาษีสูงสุดของบุคคลธรรมดาจากปัจจุบันที่ 35% เป็น 30% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลซึ่งปัจจุบันได้ลดลงเป็น 20%
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : กลุ่มค้าปลีก สื่อ & บันเทิงท่องเที่ยว บัตรเครดิต ได้รับประโยชน์เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อที่ดีขึ้น โดยมองว่ามาตรการลดอัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจะมีน้ำหนักทางบวกมากกว่าการให้นำเงินค่าซื้อสินค้าและบริการไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทมาลดหย่อนภาษี เพราะเป็นเพียงระยะสั้นๆ และความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคในระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะรายได้สุทธิที่แท้จริงคงเดิม แต่การลดอัตราภาษีฯทำให้รายได้สุทธิและกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลต่อเนื่องไปในระยะยาวด้วย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคที่มีสัญญาณระยะสั้นดี มีโอกาสขยับขึ้นต่อได้ เป็นดังนี้
# BIGC (ราคาปิด 201 บาท) : ซื้อเมื่อราคาหุ้นยืนเหนือ 200 โดยมีแนวต้านระยะสั้น 210, 220 บาท
# HMPRO (ราคาปิด 6.75 บาท) : ซื้อตามด้วยค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 7.00, 7.20-7.50 บาท)
# WORK (ราคาปิด 44 บาท) : ซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 46,48 บาท
# KTC (ราคาปิด 89.50 บาท) : ซื้อตามด้วยค่าบวกและเหนือเส้น SMA10โดยมีแนวต้านระยะสั้น 91-92, 94 บาท
# AAV (ราคาปิด 4.92 บาท) : ซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น5.20, 5.50 บาท)
# BA (ราคาปิด 23.10 บาท) : ซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 24บาท)
+ TTCL (ราคาปิด 15.40 บาท) : ได้รับหนังสือแจ้งความจำนงเพื่อทำสัญญาก่อสร้างโครงการใหม่ คือ SEC/GI Renovation Project โดยเป็นโรงงานเคมีที่จ.ระยองของบริษัท Asia Silicones Monomer / Shin-EtsuChemical ครอบคลุมงานออกแบบวิศวกรรม จัดซื้อเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์และก่อสร้างครบวงจร ระยะเวลาก่อสร้างม.ค.59-ต.ค.60
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : บริษัทยังไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเลขของโครงการ แต่เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาก่อสร้างของโครงการที่ 22 เดือน ก็คาดว่าจะเป็นงานที่มีมูลค่าสูงพอควร และน่าจะทำให้บริษัทมี Backlog ที่มั่นคงมากขึ้น
ราคาหุ้น TTCL ได้ปรับลงมาสะท้อนความเสี่ยงเรื่องการเลื่อนโครงการโรงไฟฟ้า 1,280 MW มูลค่า 4.9 หมื่นล้านบาทที่เมียนมาร์ไปแล้ว (โดยบริษัทคาดว่าจะเซ็นสัญญา PPA กับรัฐบาลเมียนมาร์ได้ในกลางปี 2016จากเดิมที่จะเซ็นปลายปีนี้ แต่ต้องเลื่อนเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลหลังเลือกตั้ง) ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 15.40 บาทต่ำกว่าราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานที่ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ไว้ที่ 17.30 บาทแล้ว ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่าเป็นจังหวะซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว