- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 December 2015 16:29
- Hits: 1070
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ได้รับ Sentiment เชิงบวก นโยบายกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ (ROBINS, HMPRO) รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวหลังสหรัฐรายงานสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ ยังให้สะสมหุ้นปันผลเด่น (EASTW, MCS, SCC) และเลือก ROBINS(FV@B55) เป็น Top pick
ภาพรวมภายนอกยังเหมือนเดิม และให้น้ำหนัก FED ขึ้นดอกเบี้ยฯ นับจากนี้ช้าๆ
วานนี้สหรัฐยังมีการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญ บ่งบอกถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริโภค ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคครัวเรือน สะท้อนจากผลการสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับ 92.6 สูงกว่าเดือน พ.ย. ซึ่งอยู่ที่ระดับ 91.3 (เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน) โดยผลสำรวจบ่งชี้ถึงกำลังซื้อในตลาดแรงงาน จะเป็นแรงหนุนสำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีก่อน ต้อนรับปีใหม่ ขณะที่ข้อมูลรายได้ภาคครัวเรือน เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% (เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน) สอดคล้องกับตลาดบ้านที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดขายบ้านใหม่ เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 9.1%yoy อยู่ที่ระดับ 4.9 แสนหลัง (เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน)
แต่อย่างไรก็ตามภาคการผลิตยังฟื้นตัวล่าช้า (ยอดสั่งซื้อสินค้าจากโรงงาน และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของ ISM ยังชะลอตัวติดต่อกัน 4 และ 5 เดือนตามลำดับ) และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.5%YoY ต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปี 2559 น่าจะค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก โดยที่ประชุม FED รอบล่าสุด ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายสิ้นปี 2559 จะอยู่ที่ 1.375% (หรือขึ้นอีกราว 0.875%) ซึ่งจะต้องติดตามผลการประชุมในรอบถัดไป
รัฐหนุนกำลังซื้อในประเทศต่อ โดยปรับลดเพดานภาษีบุคคลฯ อีก 5%
หลังจากที่รัฐได้กระตุ้นกำลังซื้อระดับฐานราก ผ่านทางกองทุนหมู่บ้าน ระดับกลางโดยเฉพาะ SMEs ผ่านการปล่อยกู้ Soft Loan รวมทั้งหนุนภาคเอกชนด้วยสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ล่าสุด รัฐบาลพยายามที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ประชาชนทุกระดับผ่านช่องทางต่างๆ ตั้งแต่การอนุมัติขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และพนักงานข้าราชการทุกประเภท มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา
และวานนี้ ได้หันมากระตุ้นภาคครัวเรือนเพิ่มเติม โดยการให้นำใบกำกับภาษีมาหักลดหย่อนภาษี ซึ่งนับเป็นการกระตุ้นเครื่องยนต์ที่สำคัญประการหนึ่ง เนื่องจากการบริโภคภาคครัวเรื่อน (C) โดยตรงและน่าจะได้ผลเร็วสุด ทั้งนี้ปัจจุบันฐานผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาในประเทศไทย มีอยู่ประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มระดับกลาง-บน
และล่าสุด รัฐประกาศกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศเพิ่มเติม ผ่านการลดเพดานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเดิม 35% เหลือ 30% โดยรวมคาดว่ามาตรการของภาครัฐที่ออกมาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปี น่าจะประโยชน์โดยตรงกลุ่มผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายในระดับกลาง-บน เช่น COM7, HMPRO และ ROBINS เป็นต้น และเนื่องจากการบริโภคในประเทศ คิดเป็นกว่า 51% ของ GDP รวมทั้งประเทศ จึงน่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่มาช่วยเสริมแทนการใช้จ่ายภาครัฐ (G) ที่คาดจะชะลอตัวลงในงวด 4Q58 ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 2.3% และทั้งปีเติบโต 2.7%
SET ได้ Sentiment เชิงบวก..สต็อกน้ำมันสำเร็จรูปลดครั้งแรกใน 4 สัปดาห์
วานนี้ สำนักงาน สารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุด 18 ธ.ค. ลดลง 5.9 ล้าน บาร์เรล (หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเป็นการรายขึ้นลงสลับกันในช่วงที่ผ่านมา) โดยน่าจะมีสาเหตุมาจาก ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 1.041 ล้านบาร์เรลต่อวัน เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันสำเร็จรูป ลดลง 0.661 ล้านบาร์เรล เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ แต่หากพิจารณารายละเอียดพบว่า เป็นการลดลงของน้ำมันกลั่น Heating Oil และน้ำมันดีเซล เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในหลายทวีปทั่วโลก หนุนปริมาณการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ยกเว้นสต็อกน้ำมันเบนซินกลับปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะอยู่นอกฤดูกาลขับขี่ (ส่งผลให้สต็อกน้ำมันมีปริมาณเพิ่มขึ้น)
ด้วยเหตุนี้จึงหนุนให้ราคาน้ำมันดิบโลกล่าสุดฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก โดยพบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.0% จากวันก่อนหน้า ปิดที่ 32.91 เหรียญฯต่อบาร์เรล เช่นเดียวกับน้ำมันตลาดล่วงหน้าปรับขึ้นราว 4.5% Brent ล่าสุดปิดที่ 37.77 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปรับขึ้นหลังแตะจุดต่ำสุดในรอบ 11 ปี ที่ 36.11 เหรียญฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามปัญหา Supply ล้นตลาดยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคา จากปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคที่ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 31.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลในปีหน้าหลังอิหร่านได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตร ผนวกกับการที่สหรัฐยกเลิกข้อห้ามการส่งออกน้ำมันที่ใช้มานานกว่า 40 ปี ซึ่งคาดส่งผลแง่ลบในระยะยาว ทั้งนี้คาดราคาน้ำมันใกล้แตะระดับต่ำกว่า 30 เหรียญฯต่อบาร์เรล น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ในระยะสั้น ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น Sentiment บวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ราคาปรับลดลงมากแล้วในช่วงก่อนหน้าจึงแนะนำสะสมหุ้น PTT(FV@B310) ณ ระดับราคาปัจจุบันมี Upside 25%
ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาค
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 18 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) แต่กลับมาซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 111 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิราว 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 5 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน) ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 145 ล้านเหรียญ หรือ 5,230 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 โดยมียอดขายสุทธิสะสมรวมสูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 2,541 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 8,917 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 387 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 36.07 บาท/ดอลลาร์
หุ้นที่แนะนำใน Market talk