WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
        หุ้น ICT ลงกว่า 20% สะท้อนต้นทุนประมูลคลื่น 900 MHz ที่สูงเกิน ยกเว้น JAS ยังมี Room ลงต่อ แนะสะสมหุ้นปันผลเด่น (EASTW, MCS, SCC) และที่มีผลบวกของฤดูกาล เช่น ท่องเที่ยว/โรงแรม เลือก ERW([email protected]) ยัง Laggard และที่ได้ประโยชน์น้ำมันขาลง BA([email protected]) เป็น Top picks

การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจโลก
      เชื่อว่าตลาดยังให้น้ำหนักต่อเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างล่าช้า โดยเฉพาะภายหลังจากที่สหรัฐได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ในการประชุมรอบที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อยู่ที่ 0.5% ด้วยความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจนทำให้อัตราการว่างงานลดลงต่ำกว่า 5% ไปอยู่ในระดับก่อนวิกฤตซับไพร์ม ซึ่งมีผลทำให้การบริโภคภาคครัวเรือนฟื้นตัวต่อเนื่องในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากพิจารณาทางภาคการผลิต พบว่าการฟื้นตัวยังล่าช้าและค่อยเป็นค่อยไป ส่วนหนึ่งนอกจากผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าแล้ว ประเทศคู่ค้าหลัก ๆ ยังเผชิญกับภาวการณ์ฟื้นตัวล่า โดยยุโรป จึงทำให้มีการใช้มาตรการเงินต่อเนื่องไปถึง มี.ค. ปี 2560

       และตามด้วยเฉพาะจีน ที่ล่าสุด ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ปรับลด GDP Growth ในปี 2559 เหลือ 6.8% (เดิม คาด 6.9%) แต่ยังสูงกว่า IMF ที่ประเมินไว้เพียง 6.3% โดยเชื่อว่าการเติบโตที่ชะลอตัวลงมาจากการปฎิรูปเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ (Domestic) ทำให้เชื่อว่ามีโอกาสที่ ธนาคารกลางจีน PBOC มีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2557 จะลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 6 ครั้ง รวม 1.65% รวมทั้งลด RRR ไปแล้ว 4 ครั้งรวม 2.5% (ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.35%, RRR 17.5%)

หุ้นสื่อสารตกกว่า 20% ความผิดหวังการประมูลคลื่นใหม่ที่แพงมาก
การเปลี่ยนแปลงดัชนี รายกลุ่ม นับจาก 4 พ.ย. ถึงวานนี้

     นอกเหนือจากตลาดให้น้ำหนักเชิงลบต่อการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ลดลงจาก 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล เมื่อต้นเดือน ต.ค. จนลงมาที่ 30 เหรียญฯ ต้นๆ หรือลดลงกว่า 30% ได้กดดันให้ดัชนีกลุ่มพลังงานลดลงราว 17% ในช่วงใกล้เคียงกัน แต่หากพิจารณารายหุ้นพบว่า PTT(FV@B310) และ PTTEP(FV@B60) ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 25% จาก จาก 8.54 แสนล้านบาท และ 3.04 แสนล้านบาท ในช่วงต้นเดือน พ.ย. ลงมาเหลือ 6.42 แสนล้านบาท และ 2.27 แสนล้านบาท ตามลำดับ ในปัจจุบัน

      ส่วนปัจจัยในประเทศ นอกจากประเด็นเรื่องผลกำไรตลาดในงวด 3Q58 ที่ต่ำประมาณการจนทำให้ต้องมีการปรับลดประมาณการแล้ว ยังเป็นเรื่องของการประมูลใบอนุญาตคลื่น 4G ทั้ง 1800 MHz และ 900 MHz ที่มีต้นทุนสูงกว่านักวิเคราะห์คาดมาก โดยเฉพาะคลื่น 900 MHz ดังที่นำเสนอไปวานนี้ และมีผลทำให้นักวิเคราะห์ ASPS เตรียมปรับลดประมาณการกำไร และ Fair Value ในปี 2559 ลงทุกราย (รายละเอียด Industry Update วานนี้) และหากพิจารณาดัชนีกลุ่มสื่อสาร พบว่านับจากช่วงต้นเดือน พ.ย. เป็นต้นมา ดัชนีกลุ่มได้ปรับตัวลดลง 20.3% ถือว่าปรับลดลงมากสุดเมื่อเทียบกับดัชนีกลุ่มอื่น ๆ และหากพิจารณารายหุ้นพบว่า DTAC (Fair Value ใหม่เบื้องต้นประเมินที่ 35-38 บาท vs ราคาตลาดวานนี้ 27.75 บาท) ปรับตัวลดลงมากสุดราว 57% รองลงมา JAS (Fair Value ใหม่เบื้องต้นประเมินที่ 2-3 บาท vs ราคาตลาดวานนี้ 3.70 บาท) ปรับตัวลดลงราว 36% และ TRUE (Fair Value ใหม่เบื้องต้นประเมินที่ 6.50-7.00 บาท vs ราคาตลาดวานนี้ 6.60 บาท) ปรับตัวลดลงมากที่สุด 35% และสุดท้าย ADVANC (Fair Value ใหม่เบื้องต้นประเมินที่ 210-220 บาท vs ราคาตลาดวานนี้ 155.50 บาท) ลดลง 33% ซึ่งทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นในตลาดได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวแล้ว ยกเว้น JAS ที่คาดว่ายังมีช่องว่างที่ปรับลดลงได้อีก


หุ้นที่มูลค่าตลาดลดลงมากสุด 20 อันดับแรก

      ตรงกันข้ามกับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก หรือมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นจะเป็นหุ้นที่มีผลของฤดูกาลที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ หุ้นท่องเที่ยวและโรงแรม หุ้นโรงพยาบาล และขนส่งทางอากาศ เป็นต้น แต่หากพิจารณารายหุ้นพบว่าหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงมากสุดกระจุกตัวในกลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรม คือ CENTEL, MINT และขนส่งอากาศที่อิงตามภาคท่องเที่ยว คือ AOT, BA, และกลุ่มโรงพยาบาล คือ BDMS, BCH, CHG เป็นต้น รายละเอียดดังตารางถัดไป


หุ้นที่มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมากสุด 20 อันดับแรก
      หมายเหตุ WHART มี Market Cap. เป็นบวก แต่มีผลตอบแทนติดลบ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว WHART มีการเพิ่มทุนเพื่อไปซื้อสินทรัพย์ใน WHA

     และหากพิจารณาค่า Expected PER ตลาดหุ้นไทยพบว่า ต่ำสุด คือ 13.4 เท่า เท่านั้น (อิง EPS ที่ 94.5 บาท) ตามมาด้วยตลาดหุ้นจีน 14.2 เท่า อินเดีย 14.4 เท่า มาเลเซีย 14.8 เท่า อินโดนีเซีย 15.1 เท่า และฟิลิปปินส์ 16.7 เท่า จึงอาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนระยะยาวในเชิงเปรียบเทียบ กลยุทธ์การลงทุนการลงทุนในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า ยังให้เลือกเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลบวก ของฤดูกาลท่องเที่ยว ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (CENTEL, ERW, MINT) โรงพยาบาลที่ เน้นคนไข้ต่างชาติ (BDMS แต่เริ่มใกล้ Fair Value รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และ BH เป็นต้น) และ ขนส่งทางอากาศ ซึ่งนอกจากได้ประโยชน์จากฤดูท่องเที่ยวแล้ว ยังได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง (AAV, BA รวมถึงผู้ให้บริการสนามบินอย่าง AOT ซึ่งได้ประโยชน์จากฤดูกาลท่องเที่ยว และ จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มตามฤดูกาล)

ตลาดหุ้นผันผวน เลือกหุ้นที่มีผลของฤดูกาล: BA, ERW
     เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน จึงได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อช่วยกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับลงทุนระยะสั้น ๆ โดยการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่า พบว่า ในเดือน ม.ค. ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวลงผลตอบแทนเฉลี่ย -0.53% โดยมีเพียง 4 ปีเท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้สวนแนวโน้มตลาด คือ ประกันฯ และท่องเที่ยว-โรงแรม ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 2.77% และ 1.30% ตามลำดับ ด้วยความน่าจะเป็นราว 55% ส่วน ธ.พ. ให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากราว 0.2% แต่โอกาสสูงราว 65%

     ขณะที่เดือน ก.พ. เป็นเดือนที่ SET ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของไตรมาสแรก เฉลี่ยที่ราว 3.5% ด้วยโอกาสกว่า 80% โดยมีกลุ่มที่สามารถ outperform ได้มากกว่า SET คือ ธ.พ., อสังหาฯ และท่องเที่ยว-โรงแรม ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 5.2, 4.5% และ 4.6% ตามลำดับ ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 75 – 95%

     ส่วนเดือน มี.ค. ตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยที่ 2.01% ด้วยความน่าจะเป็นราว 50% ขณะที่กลุ่มฯ ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยชนะตลาดและมีความน่าจะเป็นเกินกว่า 70% คือ ค้าปลีก-ส่ง, ธ.พ. และโรงพยาบาล ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.4%, 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ ตามภาพด้านล่าง

อัตราตอบแทนรายกลุ่ม ในเดือน ม.ค.-มี.ค. ย้อนหลัง 10 ปี


      ทั้งนี้ จะเห็นว่า กลุ่มที่เป็น Domestic Plays มักจะปรับตัวได้ดีในช่วงไตรมาสแรกของทุกปี โดยปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเข้าสู่ช่วง High Season ที่ต่อเนื่องมาจากปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม เป็นกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดเป็นลำดับต้นๆ มาโดยตลอด สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยว โดยล่าสุด จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยเดือน ต.ค. 2558 มีจำนวน 2.228 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอีก 5% เป็น 2.55 ล้านคนในเดือน พ.ย. 2558 ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2558 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติท่องเที่ยวในไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30 ล้านคน เติบโต 21% yoy และจะโตต่อเนื่องในงวด 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ท่องเที่ยวบวกกับมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการเปิด AEC ส่งผลบวกต่อกลุ่มต่อหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว/โรงแรม อาทิ MINT (FV@B39),CENTEL (FV@B48) และ ERW([email protected]) แต่เนื่องจาก MINT และ CENTEL ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมากแล้วในช่วงก่อน ทำให้เหลือ Upside น้อย จึงเลือก ERW ณ ราคาปัจจุบัน มี Upside 26.79% เป็น Top pick จากผลประกอบการที่จะ Turnaround และราคาหุ้นยัง Laggard ที่สุดในกลุ่ม

แรงขายจากต่างชาติและสถาบันฯ รวมกัน สูงเกือบหมื่นล้านบาท
      วานนี้ ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 321 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) โดยเป็นการขายสุทธิ 4 ประเทศยกเว้น ฟิลิปปินส์ ที่ยังซื้อสุทธิเพียงประเทศเดียวราว 3 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ประเทศที่ขายสุทธินำโดย เกาหลีใต้ขายสุทธิราว 112 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ไต้หวันขายสุทธิราว 48 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3 วัน) อินโดนีเซียที่ขายสุทธิราว 36 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) และไทย ขายสุทธิสูงถึง 129 ล้านเหรียญ หรือ 4,655 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 11 โดยมียอดขายสุทธิสะสมรวมสูงถึง 2.1 หมื่นล้านบาท) และ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศที่สูงถึง 5,033 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา ได้กดดันนนี้ปรับตัวลดลงถึง 1.59% จากวันก่อนหน้า

      ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 4,996 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 1,423 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 36.14 บาท/ดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค

หุ้นที่แนะนำใน Market talk 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!