- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 17 December 2015 18:25
- Hits: 15849
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ยังไม่ทิ้งผันผวน"
Stock Picks-Dec 2015 : Fundamental : CPN, INTUCH, KBANK, MTLS, TCAP และ Dark Horse เป็น ANAN, TASCO
Fundamental Pick -Today: CPNRF (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : GFPT 52%, M 35%, BTS 23%, TTA 22%, TRUE 18%, EGCO 15%, PTT 15%
Technical View ภาพตลาดกลับเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1310-1320 หลุด 1280
SET50 ซื้อค่าบวก 840-850 หลุด 820
Technical Picks- Today : KTC, EPG, INET, IRPC, BECL, LPH, AAV, MAJOR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด -1.39 จุดที่ 1299.12 เพราะถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มสื่อสาร (จากราคาประมูลใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz สูงเกินคาด และประเด็นนี้ยังกดดันต่อในวันนี้ โดยเมื่อ 6.00 น.ราคา 2 ใบอนุญาตใกล้จะทะลุ 1 แสนล้านบาทแล้ว รวมถึงมีแรงขายหุ้นขนาดกลาง-เล็กด้วย แต่หุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานขยับขึ้นได้จากแรงซื้อของสถาบันในประเทศ เพราะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการซื้อ LTF & RMF ด้านกนง.ก็คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามคาด
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลง 3-5% เมื่อคืนนี้ (เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเหนือ 490 ล้านบาร์เรลอีกรอบ) กลับมากดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน เรายังแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มนี้ เพราะผลประกอบการ 4Q15 คาดว่าจะยังอ่อนแอมาก ดังนั้นการซื้อใหม่เน้นจังหวะอ่อนตัวแรง
ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้น Defensive & Value ที่ธุรกิจมั่นคงและจ่ายปันผลดี เพราะตลาดหุ้นในปี 2016 ยังไม่ความไม่แน่นอนหลายประการ เช่น Fund flow ที่ผันผวนจากนโยบายการเงินของสหรัฐที่สวนทางกับประเทศอื่นๆ, แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำ, เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย สำหรับหุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้อเพื่อรับปันผลสูงเป็น CPNRF
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบเล็กๆ และมีโอกาสที่อ่อนตัวในระยะสั้นมาก แต่หากพลิกกลับเป็นบวกได้จะยังมีแนวต้านที่ 1310-1320 จุด จุด Stop loss อยู่ที่ 1280 จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น LPH, AAV, MAJOR, BECL และหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ SF, BCH, COL, BMCL, EPG
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.25-0.50% ตามคาด...โดยเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบนับตั้งแต่มิ.ย.2006 และส่งสัญญาณการทยอยปรับขึ้นต่อในปี 2016 โดยแถลงการณ์ระบุว่า "คณะกรรมการ FOMC พิจารณาแล้วเห็นว่าตลาดแรงงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปีนี้ และคณะกรรมการมีความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นในระยะกลางสู่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย" นอกจากนั้นยังกล่าวเพิ่มด้วยว่า "เฟดคาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวในลักษณะที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป"
เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed fund rate) จะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่อง เป็น 1.375% ในปลายปี 2016 และสู่ระดับ 2.375% ในปลายปี 2017 และ 3.25% ในเวลาอีก 3 ปี ซึ่งสอดรับกับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐของเฟดที่ประเมินว่าจะขยายตัวที่ +2.4% ในปี 2016, +2.2% ในปี 2017 และ +2.0% ในปี 2018 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก 0.4% ในปี 2015 สู่ระดับ 1.6% ในปี 2016 และ 2.0% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ในปี 2018 ด้านอัตราการว่างงานเห็นว่าจะมีเสถียรภาพที่ระดับ 4.7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
+ สหรัฐ : ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดีขึ้นเป็น +10.5%MoM ในเดือนพ.ย.2015 สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต หลังจาก -12%MoM ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์ปิด +224.18 จุด (+1.28%) ขานรับความเชื่อมั่นของคณะกรรมการเฟดที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวและมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตได้ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้อยู่ในคาดการณ์ของตลาดแล้ว
- ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง 3-5% โดยสัญญา WTI ส่งมอบม.ค. -1.83 ดอลลาร์ หรือ -4.9% ปิดที่ 35.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT -1.26 ดอลลาร์ หรือ -3.3% ปิดที่ 37.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ตอบรับรายงาน EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด 11 ธ.ค.พุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 490.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล
ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรง...แต่ตลาดปิดก่อนแถลงผลประชุมเฟด สัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.2016 ปิด +15.2 ดอลลาร์ ที่ 1076.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดทองคำปิดทำการซื้อขายก่อนการแถลงผลประชุมเฟด ซึ่งมีโอกาสที่ราคาทองคำจะอ่อนลงในวันต่อไป เพราะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐกดดันราคาโภคภัณฑ์และทองคำ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Cash Index) ขยับขึ้นต่อเป็น 98.625 จาก 97.871 ตอบรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ และมีแนวโน้มว่าจะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องในปี 2016-2017
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามคาด โดยประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโตมากกว่า 2.7% และขยายตัว 3.7% ในปีหน้า
- กลุ่มสื่อสาร : การประมูล 4G ย่าน 900 MHz ระอุ ถึงเวลา 06.00 น.ประมูลรอบที่ 108 ราคาใบอนุญาตรวมสองใบอยู่ที่ 96,890 ล้านบาท หรือเท่ากับ 4.8 พันล้านบาท/MHz) และเริ่มประมูลอีกครั้งเวลา 09.00 น. วันนี้
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research ราคาใบอนุญาตรอบนี้สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าสงครามราคาที่เกิดขึ้นก็เพื่อกันไม่ให้รายใหม่ คือ JAS เข้ามา ขณะเดียวกันก็จัดการคู่แข่งขันรายเก่าที่ยังไม่ได้คลื่น 1800 MHz คือ DTAC ให้ออกไป ทั้งนี้ DTAC จะหมดสัมปทานที่ถืออยู่ในปัจจุบันปี 2018 ถ้าไม่ได้ใบอนุญาตในการประมูลรอบนี้ ธุรกิจก็มีความเสี่ยง เพราะขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนในการเปิดประมูลคลื่น 1800MHz รอบต่อไปหลังปี 2018 นอกจากนั้นเงื่อนไขการจ่ายค่าสัมปทานสำหรับใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz ที่ผ่อนคลายก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ราคาประมูลสูงมาก (ในต่างประเทศราคาใบอนุญาตที่ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านบาท/ใบ หรือ 6.8 พันล้านบาท/MHz)
ราคาใบอนุญาตที่แพงเกินคาด กดดันหุ้นกลุ่มสื่อสารต่อ เพราะค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตย่าน 900 MHz อยู่ที่ 15 ปี ซึ่งจากราคาล่าสุดที่ยังไม่จบก็ต้องตัดจำหน่ายสูงถึงปีละ 3.3 พันล้านบาทแล้ว (ส่วนย่าน 1800 MHz ที่ประมูลจบไปแล้วนั้น ตัดจำหน่าย 18 ปี ปีละ 2.2 พันล้านบาท)
คาดว่านักวิเคราะห์ต้องปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มสื่อสารกันอีกรอบหลังจบประมูลแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีการชำระค่าสัมปทานที่ผ่อนคลาย (ย่าน 900 MHz ให้จ่ายปีที่ 1 ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท, ปีที่ 2 จ่าย 4 พันล้านบาท, ปีที่ 3 จ่าย 4 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจ่ายปีที่ 4 ส่วนย่าน 1800 MHz ให้จ่าย 50% ในปีที่ 1 คือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท, 25% ในปีที่ 2 หรือราว 1 หมื่นล้านบาท และอีก 25% ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปีที่ 3) ทำให้จะไม่กระทบกับความสามารถในการจ่ายปันผลของบริษัทที่ชนะการประมูลนัก โดยเงินปันผลอาจจะลดลงไปบ้างแต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงแรงก็ทำให้ Dividend Yield ของ ADVANC, INTUCH น่าจะยังสูงที่ 6-7% ต่อปีได้ การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อลงทุน
วิเคราะห์ทางเทคนิค สำหรับ ADVANC มีแนวรับระยะสั้น 180 บาท, INTUCH มีแนวรับ 55 บาท, DTAC มีแนวรับ 40, 35 บาท สำหรับ JAS แนวรับอยู่ที่ 4 บาท)
- กลุ่มพลังงาน : ผลประกอบการ 4Q15 อ่อนแอต่อ ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเพราะสต็อกน้ำมันสหรัฐกลับขึ้นมามากเกิน 490 ล้านบาร์เรลอีกครั้ง กดดันผลประกอบการของกลุ่มนี้ โดยคาดว่าใน 4Q15 จะมีขาดทุนในสต็อกของโรงกลั่นจำนวนมากอีก ขณะเดียวกันมีความเสี่ยงว่าจะมีบันทึกด้อยค่าในเงินลงทุน/สินทรัพย์ของ PTTEP อีก ซึ่งจะกระทบต่อไปยังบริษัทแม่ คือ PTT ด้วย
เรายังคงให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มพลังงาน แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะทำให้ค่าการกลั่นดีขึ้น อันเกิดจาก Crude Premium และ Yield loss ของโรงกลั่นที่ลดลง แต่ก็อาจไม่ชดเชยกับผลขาดทุนในสต็อกจำนวนมากได้
ในเชิงกลยุทธ์ ซื้อใหม่เน้นเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว ทั้งนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเห็นว่าราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT มีโอกาสที่จะทำ New low ที่ต่ำกว่า 34.5 และ 36 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าไม่กลับขึ้นไปยืนเหนือ 37.5 และ 39 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
#TU: ยืนยันไม่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนกฏหมายการใช้แรงงาน
จากสื่อต่างประเทศบางแหล่งที่ระบุว่า TU เป็นเจ้าของกิจการ Gig Peeling Factory ที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนกฏหมายการใช้แรงงานในการดำเนินธุรกิจ ทาง TU ได้ชี้แจงว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Gig Peeling Factory แต่อย่างใด แม้บริษัทย่อยคือ Okeanos ได้รับวัตถุดิบมาจาก Gig Peeling Factory แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว เมื่อทราบว่าบริษัทดังกล่าวมีความผิด นอกจากนี้ทาง TU ได้แจ้งให้สมาคม TFFA ได้รับทราบแล้ว ขณะนี้ Gig Peeling Factory ก็กำลังถูกตำรวจตามจับอยู่
ผลกระทบ: TU มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ส่อไปในทางผิดกฎหมาย และหยุดการรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบกุ้งก่อนที่จะทำการแช่แข็งจากภายนอก และมาลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐที่จะทำกระบวนการผลิตกุ้งดังกล่าวภายในบริษัทเอง เราเห็นว่าการ action แบบนี้จะเป็นการสะท้อนที่บริษัทมีความโปร่งใสและไม่ได้ฝ่าผืนการทำผิดเกี่ยวกับแรงงาน รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย
คำแนะนำ: แม้ราคาหุ้น TU จะปรับตัวลงแรง อาจเป็นการรับข่าวลบช้างต้น แต่เรายังเชื่อว่าบริษัทไม่ได้ทำความผิด จึงคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 22.40 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา
[email protected]
# ข่าวความคืบหน้า TRC และ BJCHI
สำหรับ TRC ยังอยู่ในช่วงการต่อรองในการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กัมพูชา จำนวน 2,000 MW แต่ปัจจุบันยังไม่มีการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) แต่อย่างใด นอกจากนี้ทาง TRC และ China Railway ได้วางแผนที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ BTS ในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า โดยเฉพาะโครงการที่เป็น PPP ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน ปัจจุบันอยู่ในช่วงการเจรจาอยู่
ด้าน BJCHI พบว่ายังคงได้รับการจ่ายเงินค่าก่อสร้างจาก Petrobras ตามปกติและสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาและขณะนี้ได้เตรียมแผนที่จะทำการซื้อหุ้นคืน คาดว่าจะอยู่ในสัดส่วนประมาณ 5% สำหรับงานโรงงาน ปิโตรเคมีที่มูลค่า 1.2 พันล้านบาท จะมีการลงนามในสัญญาที่มีแนวโน้มจะล่าช้าออกไปจาก ธ.ค.58 ไปเป็น 1Q59
เราคงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง TRC และ BJCHI ที่ราคาพื้นฐาน 2.48 บาท และ 8.80 บาท ตามลำดับ
# Turnover List Watch: TACC ใกล้เคียงที่สุดขึ้นกับราคาปิดวันนี้
CMNT> (ต่อ1) ภาวะตลาดหุ้นรายวัน - บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส
หลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ทุกประการแล้ว มีโอกาสติด cash balance 6 สัปดาห์ แต่ราคาปิดยังไม่ถึงเกณฑ์คือ 1) TACC ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 4.97 บาท วานนี้ยังขาดอีก 3% 2) TKN ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 9.75 บาท วานนี้ยังขาดอีก 8% และ 3) J ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 3.58 บาท วานนี้ยังขาดอีก 15% ต้องติดตามราคาปิดในวันนี้
ส่วนหลักทรัพย์หมดอายุการใช้ Cash Balance ระดับที่ 1 ในวันศุกร์ที่ 18 ม.ค.58 ระดับที่1อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้าที่จะกลับมาใช้มาร์จินได้ แต่ต้องรอพิจารณาว่าตลาดฯจะต่ออายุการใช้ Cash Balance หรือไม่ ได้แก่ AJD, AJD-W1, AJD-W2, LPH, SAWAD-W1, TAKUNI และ THE
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน "ยังไม่ทิ้งผันผวน" Stock Picks-Dec 2015 : Fundamental : CPN, INTUCH, KBANK, MTLS, TCAP และ Dark Horse เป็น ANAN, TASCO Fundamental Pick -Today: CPNRF (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้า 2) Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF Shot Sell-Prev : GFPT 52%, M 35%, BTS 23%, TTA 22%, TRUE 18%, EGCO 15%, PTT 15% Technical View ภาพตลาดกลับเป็นลบเล็กๆ Support Resistance Stop Loss SET ซื้อค่าบวก 1310-1320 หลุด 1280 SET50 ซื้อค่าบวก 840-850 หลุด 820 Technical Picks- Today : KTC, EPG, INET, IRPC, BECL, LPH, AAV, MAJOR หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด -1.39 จุดที่ 1299.12 เพราะถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มสื่อสาร (จากราคาประมูลใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz สูงเกินคาด และประเด็นนี้ยังกดดันต่อในวันนี้ โดยเมื่อ 6.00 น.ราคา 2 ใบอนุญาตใกล้จะทะลุ 1 แสนล้านบาทแล้ว รวมถึงมีแรงขายหุ้นขนาดกลาง-เล็กด้วย แต่หุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานขยับขึ้นได้จากแรงซื้อของสถาบันในประเทศ เพราะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการซื้อ LTF & RMF ด้านกนง.ก็คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามคาด อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลง 3-5% เมื่อคืนนี้ (เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเหนือ 490 ล้านบาร์เรลอีกรอบ) กลับมากดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน เรายังแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มนี้ เพราะผลประกอบการ 4Q15 คาดว่าจะยังอ่อนแอมาก ดังนั้นการซื้อใหม่เน้นจังหวะอ่อนตัวแรง ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้น Defensive & Value ที่ธุรกิจมั่นคงและจ่ายปันผลดี เพราะตลาดหุ้นในปี 2016 ยังไม่ความไม่แน่นอนหลายประการ เช่น Fund flow ที่ผันผวนจากนโยบายการเงินของสหรัฐที่สวนทางกับประเทศอื่นๆ, แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำ, เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย สำหรับหุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้อเพื่อรับปันผลสูงเป็น CPNRF วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบเล็กๆ และมีโอกาสที่อ่อนตัวในระยะสั้นมาก แต่หากพลิกกลับเป็นบวกได้จะยังมีแนวต้านที่ 1310-1320 จุด จุด Stop loss อยู่ที่ 1280 จุด ส่วนการ SCAN หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น เราพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น LPH, AAV, MAJOR, BECL และหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ SF, BCH, COL, BMCL, EPG Market Drivers ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์ สหรัฐ : เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.25-0.50% ตามคาด...โดยเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบนับตั้งแต่มิ.ย.2006 และส่งสัญญาณการทยอยปรับขึ้นต่อในปี 2016 โดยแถลงการณ์ระบุว่า "คณะกรรมการ FOMC พิจารณาแล้วเห็นว่าตลาดแรงงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปีนี้ และคณะกรรมการมีความเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นในระยะกลางสู่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย" นอกจากนั้นยังกล่าวเพิ่มด้วยว่า "เฟดคาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวในลักษณะที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป" เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed fund rate) จะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่อง เป็น 1.375% ในปลายปี 2016 และสู่ระดับ 2.375% ในปลายปี 2017 และ 3.25% ในเวลาอีก 3 ปี ซึ่งสอดรับกับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐของเฟดที่ประเมินว่าจะขยายตัวที่ +2.4% ในปี 2016, +2.2% ในปี 2017 และ +2.0% ในปี 2018 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก 0.4% ในปี 2015 สู่ระดับ 1.6% ในปี 2016 และ 2.0% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ในปี 2018 ด้านอัตราการว่างงานเห็นว่าจะมีเสถียรภาพที่ระดับ 4.7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า + สหรัฐ : ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดีขึ้นเป็น +10.5%MoM ในเดือนพ.ย.2015 สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต หลังจาก -12%MoM ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง + ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์ปิด +224.18 จุด (+1.28%) ขานรับความเชื่อมั่นของคณะกรรมการเฟดที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวและมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตได้ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้อยู่ในคาดการณ์ของตลาดแล้ว - ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง 3-5% โดยสัญญา WTI ส่งมอบม.ค. -1.83 ดอลลาร์ หรือ -4.9% ปิดที่ 35.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT -1.26 ดอลลาร์ หรือ -3.3% ปิดที่ 37.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ตอบรับรายงาน EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด 11 ธ.ค.พุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 490.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรง...แต่ตลาดปิดก่อนแถลงผลประชุมเฟด สัญญาตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.2016 ปิด +15.2 ดอลลาร์ ที่ 1076.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดทองคำปิดทำการซื้อขายก่อนการแถลงผลประชุมเฟด ซึ่งมีโอกาสที่ราคาทองคำจะอ่อนลงในวันต่อไป เพราะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐกดดันราคาโภคภัณฑ์และทองคำ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Cash Index) ขยับขึ้นต่อเป็น 98.625 จาก 97.871 ตอบรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ และมีแนวโน้มว่าจะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องในปี 2016-2017 ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามคาด โดยประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโตมากกว่า 2.7% และขยายตัว 3.7% ในปีหน้า - กลุ่มสื่อสาร : การประมูล 4G ย่าน 900 MHz ระอุ ถึงเวลา 06.00 น.ประมูลรอบที่ 108 ราคาใบอนุญาตรวมสองใบอยู่ที่ 96,890 ล้านบาท หรือเท่ากับ 4.8 พันล้านบาท/MHz) และเริ่มประมูลอีกครั้งเวลา 09.00 น. วันนี้ ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research ราคาใบอนุญาตรอบนี้สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าสงครามราคาที่เกิดขึ้นก็เพื่อกันไม่ให้รายใหม่ คือ JAS เข้ามา ขณะเดียวกันก็จัดการคู่แข่งขันรายเก่าที่ยังไม่ได้คลื่น 1800 MHz คือ DTAC ให้ออกไป ทั้งนี้ DTAC จะหมดสัมปทานที่ถืออยู่ในปัจจุบันปี 2018 ถ้าไม่ได้ใบอนุญาตในการประมูลรอบนี้ ธุรกิจก็มีความเสี่ยง เพราะขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนในการเปิดประมูลคลื่น 1800MHz รอบต่อไปหลังปี 2018 นอกจากนั้นเงื่อนไขการจ่ายค่าสัมปทานสำหรับใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz ที่ผ่อนคลายก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ราคาประมูลสูงมาก (ในต่างประเทศราคาใบอนุญาตที่ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านบาท/ใบ หรือ 6.8 พันล้านบาท/MHz) ราคาใบอนุญาตที่แพงเกินคาด กดดันหุ้นกลุ่มสื่อสารต่อ เพราะค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตย่าน 900 MHz อยู่ที่ 15 ปี ซึ่งจากราคาล่าสุดที่ยังไม่จบก็ต้องตัดจำหน่ายสูงถึงปีละ 3.3 พันล้านบาทแล้ว (ส่วนย่าน 1800 MHz ที่ประมูลจบไปแล้วนั้น ตัดจำหน่าย 18 ปี ปีละ 2.2 พันล้านบาท) คาดว่านักวิเคราะห์ต้องปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มสื่อสารกันอีกรอบหลังจบประมูลแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีการชำระค่าสัมปทานที่ผ่อนคลาย (ย่าน 900 MHz ให้จ่ายปีที่ 1 ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท, ปีที่ 2 จ่าย 4 พันล้านบาท, ปีที่ 3 จ่าย 4 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจ่ายปีที่ 4 ส่วนย่าน 1800 MHz ให้จ่าย 50% ในปีที่ 1 คือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท, 25% ในปีที่ 2 หรือราว 1 หมื่นล้านบาท และอีก 25% ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปีที่ 3) ทำให้จะไม่กระทบกับความสามารถในการจ่ายปันผลของบริษัทที่ชนะการประมูลนัก โดยเงินปันผลอาจจะลดลงไปบ้างแต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงแรงก็ทำให้ Dividend Yield ของ ADVANC, INTUCH น่าจะยังสูงที่ 6-7% ต่อปีได้ การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อลงทุน วิเคราะห์ทางเทคนิค สำหรับ ADVANC มีแนวรับระยะสั้น 180 บาท, INTUCH มีแนวรับ 55 บาท, DTAC มีแนวรับ 40, 35 บาท สำหรับ JAS แนวรับอยู่ที่ 4 บาท) - กลุ่มพลังงาน : ผลประกอบการ 4Q15 อ่อนแอต่อ ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเพราะสต็อกน้ำมันสหรัฐกลับขึ้นมามากเกิน 490 ล้านบาร์เรลอีกครั้ง กดดันผลประกอบการของกลุ่มนี้ โดยคาดว่าใน 4Q15 จะมีขาดทุนในสต็อกของโรงกลั่นจำนวนมากอีก ขณะเดียวกันมีความเสี่ยงว่าจะมีบันทึกด้อยค่าในเงินลงทุน/สินทรัพย์ของ PTTEP อีก ซึ่งจะกระทบต่อไปยังบริษัทแม่ คือ PTT ด้วย เรายังคงให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มพลังงาน แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะทำให้ค่าการกลั่นดีขึ้น อันเกิดจาก Crude Premium และ Yield loss ของโรงกลั่นที่ลดลง แต่ก็อาจไม่ชดเชยกับผลขาดทุนในสต็อกจำนวนมากได้ ในเชิงกลยุทธ์ ซื้อใหม่เน้นเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว ทั้งนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเห็นว่าราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT มีโอกาสที่จะทำ New low ที่ต่ำกว่า 34.5 และ 36 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าไม่กลับขึ้นไปยืนเหนือ 37.5 และ 39 ดอลลาร์/บาร์เรล นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected] Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์ #TU: ยืนยันไม่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนกฏหมายการใช้แรงงาน จากสื่อต่างประเทศบางแหล่งที่ระบุว่า TU เป็นเจ้าของกิจการ Gig Peeling Factory ที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนกฏหมายการใช้แรงงานในการดำเนินธุรกิจ ทาง TU ได้ชี้แจงว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Gig Peeling Factory แต่อย่างใด แม้บริษัทย่อยคือ Okeanos ได้รับวัตถุดิบมาจาก Gig Peeling Factory แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว เมื่อทราบว่าบริษัทดังกล่าวมีความผิด นอกจากนี้ทาง TU ได้แจ้งให้สมาคม TFFA ได้รับทราบแล้ว ขณะนี้ Gig Peeling Factory ก็กำลังถูกตำรวจตามจับอยู่ ผลกระทบ: TU มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ส่อไปในทางผิดกฎหมาย และหยุดการรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบกุ้งก่อนที่จะทำการแช่แข็งจากภายนอก และมาลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐที่จะทำกระบวนการผลิตกุ้งดังกล่าวภายในบริษัทเอง เราเห็นว่าการ action แบบนี้จะเป็นการสะท้อนที่บริษัทมีความโปร่งใสและไม่ได้ฝ่าผืนการทำผิดเกี่ยวกับแรงงาน รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย คำแนะนำ: แม้ราคาหุ้น TU จะปรับตัวลงแรง อาจเป็นการรับข่าวลบช้างต้น แต่เรายังเชื่อว่าบริษัทไม่ได้ทำความผิด จึงคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 22.40 บาท นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected] # ข่าวความคืบหน้า TRC และ BJCHI สำหรับ TRC ยังอยู่ในช่วงการต่อรองในการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กัมพูชา จำนวน 2,000 MW แต่ปัจจุบันยังไม่มีการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) แต่อย่างใด นอกจากนี้ทาง TRC และ China Railway ได้วางแผนที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ BTS ในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า โดยเฉพาะโครงการที่เป็น PPP ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน ปัจจุบันอยู่ในช่วงการเจรจาอยู่ ด้าน BJCHI พบว่ายังคงได้รับการจ่ายเงินค่าก่อสร้างจาก Petrobras ตามปกติและสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาและขณะนี้ได้เตรียมแผนที่จะทำการซื้อหุ้นคืน คาดว่าจะอยู่ในสัดส่วนประมาณ 5% สำหรับงานโรงงาน ปิโตรเคมีที่มูลค่า 1.2 พันล้านบาท จะมีการลงนามในสัญญาที่มีแนวโน้มจะล่าช้าออกไปจาก ธ.ค.58 ไปเป็น 1Q59 เราคงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง TRC และ BJCHI ที่ราคาพื้นฐาน 2.48 บาท และ 8.80 บาท ตามลำดับ # Turnover List Watch: TACC ใกล้เคียงที่สุดขึ้นกับราคาปิดวันนี้ CMNT> (ต่อ1) ภาวะตลาดหุ้นรายวัน - บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส หลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ทุกประการแล้ว มีโอกาสติด cash balance 6 สัปดาห์ แต่ราคาปิดยังไม่ถึงเกณฑ์คือ 1) TACC ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 4.97 บาท วานนี้ยังขาดอีก 3% 2) TKN ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 9.75 บาท วานนี้ยังขาดอีก 8% และ 3) J ราคาต้องสูงกว่าหรือเท่ากับ 3.58 บาท วานนี้ยังขาดอีก 15% ต้องติดตามราคาปิดในวันนี้ ส่วนหลักทรัพย์หมดอายุการใช้ Cash Balance ระดับที่ 1 ในวันศุกร์ที่ 18 ม.ค.58 ระดับที่1อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้าที่จะกลับมาใช้มาร์จินได้ แต่ต้องรอพิจารณาว่าตลาดฯจะต่ออายุการใช้ Cash Balance หรือไม่ ได้แก่ AJD, AJD-W1, AJD-W2, LPH, SAWAD-W1, TAKUNI และ THE นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]