WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว"
Stock Picks-
Dec 2015 : Fundamental : CPN, INTUCH, KBANK, MTLS, TCAP และ
Dark Horse เป็น ANAN, TASCO

Fundamental Pick -Today: GL (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, DTAC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIV, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : M 20%, ANAN & PTT 12%, TICON 11%

Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีลุ้นเด้ง
Support Resistance Stop Loss
SET 1330-1320 1350,1360-70 ค่าลบ
SET50 850-840 870,880 ค่าลบ
Technical Picks- Today : DCC, SCB, KBANK, PTTEP, BDMS, AOT, TU, IVL

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BTS (ปรับจากซื้อ เป็น ถือ)
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งแรงราว 2% หลังตลาดประเมินว่ามาตรการเพิ่มเติมของ ECB ที่ออกมาเมื่อวานนี้ (ลดดอกเบี้ยเงินฝากธ.พ.ที่ฝากไว้กับ ECB ลงเป็น -0.3% จากเดิม -0.2% และขยายโครงการ QE อีก 6 เดือนไปสิ้นสุดมี.ค.2017 จากเดิมจะสิ้นสุดก.ย.2016) นั้นน้อยเกินไปที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมี Sell on Fact เกิดขึ้น นอกจากนั้นตัวเลขดัชนี PMI ภาคบริการของ ISM บ่งชี้ว่าภาคบริการสหรัฐเติบโตชะลอตัวลงในเดือนพ.ย.2015 โดยดัชนีร่วงเป็น 55.9 จาก 59.1 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการอ่อนค่าลงแรงและเร็วของดอลลาร์สหรัฐกดดันตลาดหุ้น ซึ่งก่อนหน้านี้นักลงทุนเอาเงินมาลงทุนหรือพักไว้ แต่ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบและทองคำในระยะสั้นมาก เราคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะผันผวนต่อในช่วงก่อนและหลังประชุมเฟดวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ เพราะจะมีทั้งการเก็งกำไรดักล่วงหน้า การ Take Profit และ Sell on Fact เกิดขึ้นสลับไปมาในช่วงเวลาดังกล่าว
      สำหรับ ปัจจัยในประเทศ กำลังลุ้นกับผลการประเมินมาตรฐานการบินของไทยจาก EASA ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจโรงแรม & อาหาร และสนามบินจะไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกลดมาตรการการบิน เพราะสายการบินต่างชาติพร้อมเพิ่มเส้นทางเข้าไทยอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังจับตาผลประมูลใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz ในวันที่ 15 ธ.ค.ด้วย แต่ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้สะท้อนราคาใบอนุญาตที่สูงมากไปพอควรแล้ว ขณะที่เชื่อว่า ADVANC, INTUCH, DTAC ยังสามารถจ่ายปันผลสูงได้ ในเชิงกลยุทธ์ เลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยเน้นหุ้น Defensive, ปันผลสูง และหุ้นที่จะเติบโต Outperform ตลาด หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น GL
      การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ การซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวก /หรือที่แนวรับ 1330-1320 ส่วนการรีรบาวด์จะมีแนวต้าน 1350, 1360-1370 จุด หุ้นเทคนิคเด่นสามารถเลือกซื้อเก็งกำไรตามค่าบวกได้แก่ DCC, SCB, KBANK, PTTEP, BDMS, AOT, TU, IVL

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- ยูโรโซน : ECB ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่ตลาดมองว่าน้อยเกินไป โดยการประชุมเมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.) ทาง ECB ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB สู่ระดับ -0.3% จากเดิมที่ -0.2% และประกาศขยายระยะเวลาโครงการ QE ไปจนถึงมี.ค.2017 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือนก.ย.2016 แต่ตลาดคาดหวังให้มีการลดดอกเบี้ยและขยายโครงการ QE ให้มากกว่านี้
ยูโรโซน : ECB ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2019-2017 ทาง ECB ประกาศปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซนในปี 2016 สู่ระดับ 1.0% จากเดิมที่ 1.1% ซึ่งมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือนก.ย. และยังได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในปี 2017 สู่ระดับ 1.6% จากเดิมที่ 1.7%
/- สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ย.ชะลอลง โดยของมาร์กิตลดลงเป็น 56.1 จากตัวเลขเบื้องต้น 56.5 ส่วนของ ISM ลดลงเป็น 55.9 จาก 59.1 ในเดือนต.ค.2015
      สหรัฐ : จับตารายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ที่จะออกมาคืนนี้ (เวลาไทย) ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดี ในการกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตัน ประธานเฟดแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการว่างงานลดต่ำลง และอัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2% ที่เป็นเป้าหมายของเฟด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมที่จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
     - สหรัฐ : ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Cash Index) ดิ่งลงมาที่ 97.93 จุด จากประมาณ 100 จุดเมื่อวานนี้...ซึ่งเป็นไปตามที่เราประเมินไว้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะผันผวนในช่วงก่อนและหลังประชุมเฟด เพราะจะมีทั้งเก็งกำไรล่วงหน้าและการ Take Profit หรือ Sell on Fact สลับกันไปมา
- ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งต่ออีก 1.4-1.7% เพราะผิดหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของ ECB ที่อ่อนกว่าคาด และผิดหวังตัวเลข PMI ภาคบริการเดือนพ.ย.ที่ออกมาอ่อนแอลงและแย่กว่าคาด
+ แต่...ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเช้าวันนี้บวกเล็กน้อย (+0.2-0.3%) ส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีรีบาวด์หลังดิ่งแรงได้
+ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ขึ้นราว 3% โดยสัญญา WTI และ BRENT ปิด +1.14 และ +1.35 ดอลลาร์ ที่ 41.08 และ 43.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าแรงหลังจบการประชุม ECB
+ ราคาทองคำปิดเพิ่มขึ้น 0.7% โดยสัญญาตลาด COMEX +7.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,061.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็วถึง 2% ภายในชั่วข้ามคืน

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
       + ไทย : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคค่อยๆดีขึ้น ม.หอการค้าไทยเปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพ.ย.ไว้ที่ 74.6 เพิ่มจาก 73.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับขึ้นต่อเป็นเดือนที่ 2 ปัจจัยหนุนคือ เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดีขึ้นใน 3Q15 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตดีขึ้นต่อในปี 2016 โดยเป็นผลจากการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ รวมถึงได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกไปในช่วงต้น 4Q15 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่กังวล คือ เหตุการณ์ก่อการร้าย, การส่งออกที่ยังซบเซา, ปัญหาภัยแล้ง และเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะกลาง-ยาว
     /+ กลุ่มท่องเที่ยว : เตรียมแผนสำรองรับการประกาศตรวจมาตรฐานการบินของยุโรป หรือ EASA ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ โดยหากไทยถูกปรับลดเกรดลงเหมือนกับที่ได้รับจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (FAA) ก็จะกระทบธุรกิจสายการบินของไทยมากกว่า โดยเฉพาะ THAI ซึ่งมีเส้นทางการบินไปยุโรปหลายเที่ยวบิน สำหรับแผนรองรับ คือ การร่วมมือกับสายการบินอื่นที่มีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างยุโรป-ไทย โดยรวมคาดว่าจะมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวไทยจำกัด เพราะสายการบินต่างชาติพร้อมที่จะเปิดเส้นทางการบินเข้ามาไทยอยู่แล้วหากสายการบินของไทยมีปัญหา
ทางกระทรวงท่องเที่ยวฯ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยปี 2015 จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่อาจถึง 30 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 28.8 ล้านคน (YTD มีเข้ามาแล้ว 27.11 ล้านคน และ 4Q เป็น High Season ของการท่องเที่ยว) นำโดยนักท่องเที่ยวชาวจีนและเอเชียที่เข้ามาเพิ่มขึ้นมาก สำหรับปี 2016 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะสูงขึ้นไปอีก เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับภาคท่องเที่ยวของไทย และให้น้ำหนักการลงทุน Overweight ในกลุ่มโรงแรม & สนามบิน (หุ้น Top Picks คือ CENTEL, MINT, AOT) ส่วนกลุ่มสายการบินยังมีความเสี่ยงจากการถูกปรับลดเกรดจากสำนักงานบริหารการบินยุโรป และประเทศอื่นๆ ที่อาจมีท่าทีระมัดระวังต่อสายการบินของไทยในช่วงที่ ICAO ยังให้ใบแดงอยู่
      /+ GL (ราคาปิด 17.80 บาท) : มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2016-2017 บริษัทกล่าวว่าธุรกิจร่วมทุนในอินโดนีเซียจะทำกำไรได้ทันทีที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้บริษัทได้เข้าไปร่วมทุนกับผู้ประกอบการในอินโดนีเซียเพื่อทำธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ซึ่งประเทศอินโดฯเป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยมีอุปสงค์รถจักรยานยนต์ประมาณ 8 ล้านคันต่อปี (ขณะที่กัมพูชามีดีมานด์ประมาณ 2.5 แสนคันต่อปี) ดังนั้นถ้าบริษัทเข้าสู่ตลาดใหญ่ได้สำเร็จก็จะช่วยหนุนรายได้และกำไรในอนาคตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจในอินโดนีเซียจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในต้นปี 2017
สำหรับธุรกิจในกัมพูชา ขณะนี้พอร์ตอยู่ที่เกือบ 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ดีมีคุณภาพสูง ระดับ NPL Ratio ต่ำมากเพียง 0.4% โดยคาดว่าสินเชื่อในกัมพูชายังจะขยายตัวได้ในอัตราสูง ตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 3-5 พันคันต่อเดือนในปี 2016 จากประมาณ 2-3 พันคันต่อเดือนในปี 2015 เพราะจะรุกเข้าไปปล่อยสินเชื่อเครื่องจักรกลการเกษตรโดยจับมือกับค่าย KUBOTA เพิ่ม และจะทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ด้วย (จากเดิมที่ทำแต่ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์)
      ส่วนธุรกิจในลาวไปได้ดี และคาดว่าจะขยายตัวได้มากขึ้นในปี 2017 ส่วนในไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยบริษัทดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง พอร์ตสินเชื่อในไทยอยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท และมี NPL Ratio 6.5% ในสิ้นก.ย.2015 และคาดว่าจะลดลงเป็น 5.0% ในสิ้นปี 2015 นี้
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้ซื้อ โดยเฉพาะจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว เนื่องจากบริษัทมีแผนธุรกิจระยะสั้น-กลาง-ยาวที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยหนุนให้รายได้และผลประกอบการขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประเมินราคาพื้นฐานระยะยาวไว้ที่ 28 บาท อิงกับ Gordon Growth Model
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

ข่าวอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
# ผลกระทบ EASA ประกาศผลการบินไทย 10 ธ.ค.58
    หลัง FAA สหรัฐประกาศลดมาตรฐานการบินไทยเป็นกลุ่มที่ 2 ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน จากเดิมกลุ่มที่ 1 ที่ยังมีมาตรฐาน แต่ผลกระทบยังน้อย เพราะเป็นเฉพาะเส้นทางใหม่ และไม่มีสายการบินของไทยที่บินไปสหรัฐ แต่ที่ตลาดฯกังวลหนักกว่าคือ EASA ของยุโรปที่คาดว่าจะประกาศผลวันที่ 10 ธ.ค.นี้
สิ่งที่แตกต่างของ EASA กับ FAA คือ EASA จะเน้นเป็นรายสายการบิน ขณะที่ FAA ประกาศเป็นภาพรวมของประเทศ ในกรณีเลวร้ายคือ หาก EASA มีภาพลบกับไทยอีก ก็จะกระทบกับภาพลักษณ์ถึงความปลอดภัยในการใช้บริการสายการบินของไทย จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจเดินทางท่องเที่ยวของไทย ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ หลักทรัพย์สายการบิน สนามบิน และบริการโรงแรมเป็นต้น
      แต่หากพิจารณาเป็นรายหลักทรัพย์คือ คาดว่าการบินไทย (THAI) จะกระทบมากที่สุด เพราะรายได้ 30% มาจากยุโรป รองลงมาคือ BA เพราะแม้ไม่ได้มีสายการบินตรง แต่ปัจจุบันใช้วิธีร่วมกับสายการบินต่างๆของยุโรป หรือวิธี code share แต่หากถูกลดระดับเป็น Interline ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มให้สายการบินอื่นๆที่บินไปยุโรป ประมาณ 0.2% จากราคาตั๋ว ซึ่งปัจจุบัน BA มีรายได้จากยุโรปในสัดส่วนประมาณ 20% ดังนั้นก่อนประกาศจาก EASA จึงทำให้ทั้งสองหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบทางลบ
     ส่วนหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือ AOT ที่บริหารสนามบิน และให้บริการโรงแรม เช่น MINT, CENTEL และ ERW จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า และเป็นทางอ้อม ในเรื่องภาพลักษณ์ที่ด้อยลง และนักท่องเที่ยวอาจไม่สะดวกที่จะต้องต่อสายการบินอื่นๆ แทนที่จะบินตรงมาไทยได้ และเลือกไปท่องเที่ยวประเทศอื่นแทน ก็อาจจะทำให้รายได้บางส่วนสูญเสียไปได้ แต่คาดว่าจะไม่ถึงกับมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected]

# Turnover List Watch: คาดว่ายังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าเกณฑ์
      คาดว่ายังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance 6 สัปดาห์สำหรับสัปดาห์หน้า เนื่องจากการซื้อขายที่เบาบางของตลาดฯ
ด้านหลักทรัพย์ที่อาจกกลับมาใช้ Margin ได้ ตั้งแต่สัปดาห์หน้า เพราะหมดอายุการใช้ Cash Balance วันนี้ คือ JWD, KOOL, RCI, SANKO อาจมีการเก็งกำไรกันล่วงหน้า แต่อาจต้องระมัดระวัง เพราะตลาดฯอาจมีการขยายเวลาให้ใช้ Cash Balance ต่อเป็นเวลา 3 สัปดาห์ได้
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา [email protected] 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!