- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 02 December 2015 17:47
- Hits: 3926
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ
Stock Picks-Dec 2015: Fundamental : CPN, INTUCH, KBANK, MTLS, TCAP และ Dark Horse เป็น ANAN, TASCO
Fundamental Pick -Today: CPALL(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, TCAP, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TICON 39%, DTAC 18%, THAI 16%, KCE & EGCO 13%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีลุ้นเด้งตามมา
Support Resistance Stop Loss
SET 1350,1340 1360-1370 ค่าลบ
SET50 860+/- 880-890,900 ค่าลบ
Technical Picks- Today : SCB, EPG, SAWAD, TCC, ASEFA, MCS, WORK, BRR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งตัว ปิดตลาดลดลงเล็กน้อย 2.69 จุด (-0.2%) ปิดที่ 1357.01 จุด การซื้อขายค่อนข้างซบเซาเนื่องจากขาดปัจจัยชี้นำ และรอดูผลการประชุม ECB ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ว่าจะมีประกาศขยายโครงการ QE ตามที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ (ECB ประกาศใช้โครงการซื้อพันธบัตรมูลค่า 1.1 ล้านล้านยูโรในช่วงเดือนมี.ค.15-ก.ย.16) และแม้ตลาดประเมินว่าประสิทธิผลของ QE ยูโรโซนน้อยกว่าของสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่ใช้ QE มาแล้ว 9 เดือนพบว่าเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวได้ไม่มากและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.1% แต่ก็ดีกว่าไม่มีการกระตุ้นเพิ่มเติม และเมื่อจบเรื่องประชุม ECB แล้วก็มีตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ของสหรัฐให้ติดตามต่อซึ่งทางการสหรัฐจะรายงานออกมาในคืนวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค. (ตามเวลาไทย) สิ่งที่ต้องระวังคือ แรงขายก่อน/หลังประชุมธนาคารกลาง ECB & FED โดยตัวเลข PMI ภาคการผลิตพ.ย.ที่ลงไปต่ำกว่า 50 ทำให้ตลาดลังเลว่าเศรษฐฏิจสหรัฐแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่
สำหรับ ปัจจัยภายในประเทศ มีรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย.15 พบว่าติดลบต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังไม่ได้เป็นประเด็นที่กดดัน ยังผลให้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวต่ำต่อไปได้อีกอย่างน้อย 12 เดือนข้างหน้า ส่วนภาพเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ ยังไม่เห็นการเติบโตที่ชัดเจนยกเว้นการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและจากเงินกู้ซอฟท์โลนให้กับ SME วงเงิน 1 แสนล้านบาทตั้งแต่ 1Q16 ส่วนเม็ดเงินจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ประมูลไปใน 4Q15 และทยอยเปิดประมูลต่อในปี 2016 คาดว่าจะเริ่มเข้าสู่ระบบตั้งแต่ 2H16 เป็นต้นไป เรามองว่า Key Growth ของเศรษฐกิจไทยในปี 2016 จะเป็นการใช้จ่าย & ลงทุนภาครัฐ และภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CPALL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ การซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวก/หรือที่แนวรับ 1350, 1340 ส่วนการรีรบาวด์จะมีแนวต้าน 1360-1370, 1380 จุด
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- สหรัฐ : ISM เปิดเผย PMI ภาคการผลิตพ.ย.2015 ลดลงเป็น 48.6 จาก 50.1 ในเดือนต.ค.ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2012 และทำให้ตลาดลังเลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 15-16 ธ.ค.นี้หรือไม่ ทั้งนี้ภาคการผลิตอ่อนแอลงเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอและเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
+ สหรัฐ : ค่าใช้จ่ายด้านก่อสร้างเดือนต.ค.สูงกว่าคาด โดยเพิ่ม 1.0%MoM เป็น 111 ล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่ธ.ค.2007 สะท้อนให้เห็นว่าภาคก่อสร้างสหรัฐมีการฟื้นตัวดี
สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.อยู่ในระดับดี ดัชนีค้าปลีกจอห์นสัน เรดบุ๊ค ซึ่งเป็นยอดขายของร้านค้าที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ เพิ่มขึ้น 1.6%MoM ในเดือนพ.ย.2015 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเป้าหมายที่ 1.9% แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
สหรัฐ : ปัจจัยจับตาสัปดาห์นี้ 1) การกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดในวันพุธ และการกล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสในวันพฤหัสบดี, 2) ถ้อยแถลงของนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก และนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานซานฟรานซิสโกในสัปดาห์นี้, 3) รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานสหรัฐเดือนพ.ย.ในวันศุกร์
/- ญี่ปุ่น : กองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่นจะเริ่มทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งกองทุนนี้เป็นหนึ่งในนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ที่สุดของโลก นักลงทุนประเมินว่าการทำประกันความเสี่ยงนี้อาจจะส่งผลให้เกิดแรงขายจำนวนมากในเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโร
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 168.43 จุด สะท้อนการคาดการณ์ว่า ECB จะขยายมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และตัวเลขภาคก่อสร้างออกมาดีเกินคาด
ราคาน้ำมันแกว่งแคบและยังคงอ่อนแอ สัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.2016 ปิด +0.20 และ -0.17 ดอลลาร์ที่ 41.85 และ 44.44 ดอลลาร์ ตามลำดั เพราะตลาดยังถูกกดดันจากอุปทานสูงและอิหร่านจะผลิตน้ำมันดิบสู่ตลาดเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรลในเดือนมี.ค.2016 เมื่อยกเลิกการคว่ำบาตรมีผลบังคับใช้ โดยนักลงทุนรอดูผลประชุมกลุ่มโอเปกวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค.นี้
/- ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อย โดยสัญญาตลาด COMEX ปิด -1.8 ดอลลาร์ที่ 1063.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ตลาดรอดูผลประชุม ECB ในวันพฤหัสฯนี้
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
-/+ ราคาหุ้น SAMART & SAMTEL ร่วงแรงเมื่อวานนี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าผู้บริหารอาจต้องไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีที่เกี่ยวข้องกับการตั้งสถานีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต และเกี่ยวพันกับคดีของกลุ่มหมอหยองและพวก
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : บริษัทกล่าวว่าการดำเนินธุรกิจยังเป็นไปตามปกติและคาดว่ากรณีนี้จะไม่มีผลต่อการดำเนินงาน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิและราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ได้ทำไว้ การอ่อนตัวของราคาหุ้นจึงเป็นจังหวะซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว ทั้งนี้คาดว่า SAMART & SAMTEL จะได้ประโยชน์จากการลงทุนในกลุ่มสื่อสารและวางระบบโทรคมนาคมเพื่อรองรับเศรษฐกิจและสังคมที่จะใช้ดิจิตอลมากขึ้น นอกจากนั้น SAMART ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตอีกด้วย
เงินเฟ้อของไทยยังต่ำมาก หนุนให้ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายได้ต่อใน 4Q15 ถึงปี 2016 ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์แถลงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.15 ว่า -0.97%YoY และ -0.32%MoM ส่งผลให้ CPI เฉลี่ยช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.58) -0.90%YoY ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนพ.ย.15 +0.88%YoY และ +0.05%MoM ส่งผลให้ Core CPI เฉลี่ย 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.58) ขยายตัว 1.09%YoY โดยดัชนีราคาอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 0.88%YoY แต่ดัชนีราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม -1.99%YoY
สำหรับ ทั้งปี 2015 ทางกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าดัชนี CPI ของไทยจะติดลบที่ -1% ถึง -0.2% ส่วนปี 2016 จะกลับเป็นบวกได้ราว 1-2% เนื่องจากราคาพลังงานที่มีความเสี่ยงขาลงจำกัดและอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นเช่นเดียวกับ GDP Growth ที่เร่งตัวขึ้น
เราคาดว่ากนง.จะยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายได้ต่อไปในไตรมาส 4 ปีนี้และทั้งปี 2016 เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยยังต่ำมาก และเศรษฐกิจต้องการปัจจัยกระตุ้นการบริโภคและลงทุน ทาง DBS คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 1.50% ไปถึงสิ้นปีหน้า ส่วนค่าเงินบาทใน 12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มอ่อนค่าลง 3-4% ไปที่ประมาณ 37 บาทใน 3Q16 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยบวกต่อภาคส่งออก แต่ก็กดดันบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก เพราะทำให้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรแพงขึ้นด้วย นอกจากนั้นมีผลกระทบด้าน Fund Flow โดยจูงใจให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากไทยไปยังประเทศที่มีค่าเงินแข็งขึ้น และเงินทุนที่ไหลออกไปแล้วก็จะยังไม่กลับมาโดยเร็ว
- กพท.ถูก FAA ปรับลดเกรดจาก CAT1 เป็น CAT2...ติดตามผล EASA 10 ธ.ค.นี้ ต่อ สำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration : FAA) ได้แจ้งผลการตรวจสอบการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการขนส่งทางอากาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เมื่อเดือนต.ค.2015 จาก Category 1 (CAT1) เป็น Category 2 (CAT 2) ทำให้สายการบินที่จดทะเบียนโดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินหรือเพิ่มจุดบินใหม่ในสหรัฐ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลัง ICAO ให้ธงแดงกับมาตรการกำกับดูแลการบินของไทย แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทการบินที่จดทะเบียนในตลาดจำกัด เพราะทั้ง AAV, BA และ NOK ไม่มีเที่ยวบินไปสหรัฐ ส่วน THAI เพิ่งยกเลิกเส้นทางลอสแองเจลีสไปเมื่อ 25 ต.ค.2015 สำหรับผลกระทบจากการที่สายการบินอื่นที่มาต่อเครื่องกับสายการบินของไทยเพื่อไปจุดหมายก็คาดว่าจะไม่มาก สิ่งที่ต้องจับตาต่อ คือ การประกาศผลตรวจสอบของ EASA (สนง.บริหารการบินแห่งชาติสหภาพยุโรป) ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ซึ่งหาก EASA ลดเกรดลงจะมีผลกระทบมากกว่าเพราะ THAI มีเที่ยวบินไปยุโรปหลายประเทศ รวมไปถึงต้องติดตามท่าทีของ CASA (ออสเตรเลีย), JCAB (ญี่ปุ่น) ต่อประเด็นนี้
สำหรับ AOT คาดว่าปัจจัยพื้นฐานไม่ถูกกระทบจากเรื่องนี้ แต่อาจมีแรงกดดันด้านจิตวิทยาในระยะสั้นบ้าง ทั้งนี้การเดินทางสามารถใช้สายการบินอื่นเข้า-ออกระหว่างไทยกับประเทศต่างๆได้ ดังนั้นการใช้บริการสนามบินยังคงดีต่อเนื่อง เรายังคงให้ AOT เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน โดยคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2016 จะขยายตัวดีต่อเนื่องทั้งจากกำลังรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นของดอนเมืองและภูเก็ต รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เติบโตต่อในปีหน้า แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน 366 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
ข่าวอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
# กลุ่มก่อสร้าง & วัสดุก่อสร้าง
ที่ประชุมครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน (Action Plan) มูลค่าลงทุนรวม 1.7 ล้านล้านบาท จำนวน 20 โครงการ ประกอบด้วย
I โครงการที่ครม.อนุมัติแล้ว สามารถประกวดราคาได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2016 (ต.ค.-ธ.ค.15) มี 6 โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม 1.86 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการรถไฟทางคู่ ถนนจิระ-ขอนแก่น 2.ทางหลวงพิเศษพัทยา-มาบตาพุด 3.ทางหลวงพิเศษ บางปะอิน-โคราช 4.โครงการพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง ท่าเทียบเรือ A ที่ท่าเรือแหลมฉบัง 5.โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 1 และ 6.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2
II โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเริ่มประกวดราคาได้ตั้งแต่ปี 2016-2017 จำนวน 14 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 1.610 ล้านล้านบาท คือ
# โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่ บ้านโป่ง กาญจนบุรี
# โครงการรถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร 4 เส้นทาง คือ มาบกะเบา-ถนนจิระ, นครปฐม-หัวหิน, ประจวบฯ-ชุมพร และลพบุรี-ปากน้ำโพ
# โครงการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน 1.435 เมตร รวม 4 เส้นทาง คือ 1.หนองคาย-ขอนแก่น, โคราช-แก่งคอย, ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-มาบตาพุด 2.กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 3.กรุงเทพฯ-หัวหิน 4.กรุงเทพฯ-ระยอง
# โครงการพัฒนารถไฟฟ้าขนส่ง 5 เส้นทาง ประกอบด้วย สายสีส้ม, สายสีชมพู, สายสีเหลือง, สายสีแดงอ่อน และสายสีม่วง
สำหรับ แหล่งเงินลงทุนใน 20 โครงการนี้ มีสัดส่วนมาจากเงินงบประมาณ 4.68% แผนบริหารหนี้สาธารณะ 70.46% ลงทุนร่วมภาคเอกชน (PPP) 20.98% เงินรายได้ 3.09% และเงินจากกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง 0.79%
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นบวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างที่จะมีงานใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-5 ปีข้างหน้า หุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างหลัก คือ CK รองลงมาเป็น STEC, UNIQ ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ SCC และ Dark Horse เป็น TPIPL โดยหากพิจารณาความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มรับเหมาและกลุ่มวัสดุก่อสร้างแล้ว เห็นว่ากลุ่มวัสดุฯจะทำ Net Profit Margin ได้สูงกว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ในเชิงกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และเลือกลงทุนในกลุ่มวัสดุฯ
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
กลุ่มพลังงานทางเลือก : กังวลเรื่องการถูกยึดใบอนุญาตคืนหลัง COD ไม่ทันสิ้นธ.ค.นี้
กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอให้กพช.เรียกคืนสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โซลาร์ค้างท่อในระบบ Adder ที่ยังไม่สามารถจ่ายกระแสไฟเข้าระบบภายในสิ้นธ.ค.2015 คืน โดยหากรายใดก่อสร้างเสร็จแต่ติดปัญหากับทางการไม่สามารถ COD ได้ก็อาจขยายให้เป็นกรณีไป ทั้งนี้ ณ 26 พ.ย.2015 มีโซลาร์ค้างท่ออยู่ 178 โครงการ กำลังการผลิตรวม 1,013.38 MW โดยมีการขายไฟเข้าระบบแล้วเพียง 2 โครงการที่ 16 MW ยกเลิกคำขอและยกเลิกการตอบรับ 7 โครงการรวม 29.7 MW ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ
ถ้าถูกยึดใบอนุญาตคืนและขอใหม่....ผลตอบแทนโครงการจะลดลงไปมาก ต้องติดตามกันต่อไปว่าโครงการของแต่ละบริษัทจะมีถูกยึดคืนใบอนุญาตบ้างหรือไม่ เพราะหากถูกยึดคืนแล้วมีการก่อสร้างโครงการไปแล้วก็ต้องไปประมูลใหม่ในระบบ FIT ซึ่งจะมีต้นทุนค่าใบอนุญาตสองรอบ และคาดว่าระบบ FIT จะให้ IRR ที่ต่ำกว่า Adder ด้วย เรามองว่าบางบริษัทอาจจะตัดสินใจขายโรงงานที่กำลังก่อสร้างออกไปให้ผู้ประกอบการรายอื่นเลยก็ได้
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Fundamental Pick : CPALL (ราคาปิด 47.00 บาท)
คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 4Q15 จะเติบโตดีขึ้น QoQ และเติบโตแกร่ง YoY เพราะไตรมาสสุดท้ายเป็นช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอย และมีแคมเปญแลกสแตมป์ด้วย เราเชื่อว่า SSSG ใน 4Q15 จะเป็นบวกได้ต่อหลังจากขยับขึ้นมาใน 3 ไตรมาสแรก ซึ่ง Outperform กลุ่มอุตสาหกรรมที่ SSSG จะมีติดลบกับเป็นบางไตรมาสหรือไม่ก็ติดลบทุกไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้ ส่วนการเติบโต YoY มาจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น มาร์จิ้นดี และภาระดอกเบี้ยจ่ายต่ำลง
กระแสเงินสดและฐานะการเงินแข็งแกร่ง ณ สิ้นก.ย.2015 บริษัทมีลูกหนี้การค้าต่ำเพียง 784 ล้านบาท (เพราะขายเป็นเงินสด) และมีเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อี่น 5.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเฉพาะส่วนนี้ก็ได้ผลตอบแทนจากการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียนพอสมควรแล้ว ในช่วง 9M15 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 2.0 หมื่นล้านบาท และมีเงินสดในมือ ณ สิ้นงวด 1.45 หมื่นล้านบาท
เราคาดว่า CPALL ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ระดับเฉลี่ย 17-18% ต่อปี) โดยการขยายสาขายังทำได้ดีในต่างจังหวัด การปรับ Product Mixed และบริหารต้นทุนช่วยหนุนให้มาร์จิ้นขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่ด้วยมูลค่าขายที่ใหญ่มากถึง 3 แสนกว่าล้านบาทต่อปี แม้ว่ามาร์จิ้นเพิ่มเพียงเล็กน้อยแต่จะสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 55.00 บาท ส่วนราคาพื้นฐานของ IAA Consensus อยู่ที่ 58 บาท
Chanpen SIRITHANARATTANAKUL [email protected]
Namida ARTISPONG [email protected]
#SEAFCO ปักธงรายได้ปี 59 โตไม่ต่ำกว่า 5%
SEAFCO ปักธงรายได้ปี 59 โตไม่ต่ำกว่า 5% หวังงานภาครัฐหนุน ตุน Backlog 1,018 ลบ. รับรู้Q4/58 ราว 400 ลบ. พร้อมรักษางานในมือ ที่ 1 พันลบ. ต่อปี เตรียมเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐ-เอกชน มูลค่า 6.46 พันลบ. หวังได้งาน19% คาดปี 59 สัดส่วนรายได้ตปท. เพิ่มเป็น 10% จากปัจจุบัน 6-8% ยอมรับกำไร-รายได้ปีนี้ ต่ำกว่าปีก่อน หลังงานภาครัฐฯ ล่าช้า (สำนักข่าวหุ้นอินไซด์)
ผลกระทบ: หลัง 3Q58 ประกาศกำไรออกมาย่ำแย่ลดลง 47% ตามคาด เพราะงานปีนี้ส่วนใหญ่เป็นอาคารสูงภาคเอกชน แต่ปีที่แล้วเป็นงานรถไฟฟ้าที่ให้รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่างานภาคเอกชน สิ้น 3Q58 มีงานในมือ 1.2 พันล้านบาท คาดว่ารายได้ 4Q58 เป็น 400-500 ล้านบาท และสิ้นปีมีงานในมือเหลืออยู่ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนงานที่พม่าได้มาค่อนข้างล่าช้ากว่าแผน โดยทั่วไปงานที่พม่าชะลอเพราะรอรัฐบาลใหม่ ทางบริษัทคาดว่าหากได้งานรัฐบาล รายได้ปี 59 อาจโตเพิ่มไปเป็น 15% แต่ในประมาณการของเราให้เพิ่ม 10% ไว้ก่อน
คงคำแนะนำในเชิงลบคือ เต็มมูลค่า (Fully Valued) ราคาพื้นฐานประเมินด้วย P/E ปี 59 ที่ 14 เท่าได้ที่ 9.10 บาท ราคาปิดที่ 9.55 บาท มีส่วนลดได้อีก 5% เราเห็นว่าตลาดฯมองปีหน้าดีเกินไป โดยจะได้งานฐานรากรถไฟฟ้าต้องพึ่งพิง CK มาก และไม่ใช่ทุกงานที่จะใช้ฐานราก-เสาเข็ม เช่นงานรถไฟทางคู่ เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835
[email protected]
# Turnover List Watch: UREKA, UREKA-W1 ขยายเวลาใช้ Cash Balance
วานนี้ตลาดฯประกาศให้ UREKA, UREKA-W1 ขยายเวลาใช้ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 2-22 ธ.ค.58
ส่วน FVC, FVC-W1 ไม่ถูกประกาศขยายเวลา จึงกลับมาใช้ Margin ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
+ด้านหลักทรัพย์ที่ครบกำหนดใช้ Cash Balance วันสุดท้ายคือ ศุกร์ 4 ธ.ค.58 นี้ จะกลับมาใช้ Margin ได้ต้นสัปดาห์หน้า อาจมีการเก็งกำไรล่วงหน้า แต่ต้องระวังตลาดฯอาจกลับขยายเวลาให้ใช้ Cash Balance ได้ หลักทรัพย์เหล่านี้คือ JWD, KOOL, RCI, SANKO
ส่วนคาดการณ์หลักทรัพย์ที่จะติด Cash Balance 6 สัปดาห์ซึ่งจะประกาศหลังปิดตลาดฯวันศุกร์ เรายังไม่เห็นว่าเป็นตัวใด เพราะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางของตลาดฯ
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835
[email protected]