- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 November 2015 18:42
- Hits: 1224
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
รอบด้านตลาดหุ้น
มุมมองตลาด
ตลาดหุ้นไทยปรับลง 0.96% มาปิดที่ 1376 จุด ภายหลังไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านที่ 1400 จุด ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยใน 1 สัปดาห์มีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศแต่ก็ถูกกดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกัน ส่งผลให้การปรับตัวขึ้นดีมีอัพไซด์จำกัด เราคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงโดยมีอัพไซด์จำกัดที่ระดับ 1400 จุด (เส้นค่าเฉลี่ย 10&25 วัน) ในระยะนี้นีนักลงทุนจะมุ่งเน้นความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับถ้อยแถลงจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 2-3 ธ.ค.ว่าเมื่อไรจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกและจะปรับขึ้นช่วงเวลาใด ปัจจุบันค่าเงินดอลล่าร์จะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวลง ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบรวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมันมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันขาย
ปัจจัยอีกเรื่องคือราคาน้ำมันดิบเบรนท์(BRT) ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 43.9 เหรียญต่อบาเรล ส่งผลให้หุ้นกล่มน้ำมัน,แก๊ซ และปิโตรเคมีปรับตัวลงไปในทิศทางเดียวกัน เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงผันผวน และอยู่ในระดับต่ำ (ราคาเฉลี่ยไม่เกิน 50 เหรียญต่อบาร์เรล) ไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2559 ส่วนมุมมองในเรื่องของกระแสเงินลงทุนสัปดาห์นี้ต้องระมัดระวัง เนื่องจากความผันผวนของตลาดหุ้นในภูมิภาค ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเมื่อไม่ผ่านจุดต้านสำคัญได้กระตุ้นให้เกิดการขายมากขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตามหากดัชนีไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1370 นั้นเป็นสัญญาณเชิงลบ อาจเป็นจุดเปลี่ยนการปรับตัวลงของตลาด
คำแนะนำ : จังหวะการลงทุนระยะสั้นใช้แนวรับ 1370 จุดเป็นหลักหากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่าแนะนำชะลอการลงทุน
BLS report 19 พ.ย. 2558
สรุปกำไรรวมไตรมาส 3/58 ลดลง 87% YoY และ 88% QoQ โดยมีปัจจัยหลักจากผลขาดทุน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงในกลุ่มพลังงานและขาดทุนรายการอัตราแลกเปลี่ยน กำไรที่ต่ำกว่าประมาณการของตลาดอยู่ 59% นั้นส่วนใหญ่มาจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและคมนาคม เราปรับตัวเลขประมาณการ EPS สำหรับปี 2558 อยู่ที่ 70 เพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3/58 และคงเป้าหมายของ SET ณ สิ้นปี ที่ 1412 จุดและปี 2559 ที่ 1623 จุด
กลุ่มที่เรามองว่าน่าจับตามองในไตรมาส 4/58 ได้แก่กลุ่มอาหาร กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (จากโครงการสาธารณุปโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น) กลุ่มท่องเที่ยว (ปัจจัยจากการฟื้นตัวหลังเหตุระเบิด รวมทั้งเป็นช่วงไฮซีซั่นระหว่างไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ) กลุ่มเช่าซื้อ (แนวโน้มสินเชื่อเติบโต และ ความเสี่ยงต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น้อยลง) และกลุ่มโรงพยาบาล
สรุปผลประกอบการใน 3Q15 บริษัทในกลุ่ม Small-cap ที่เรา cover อยู่ รายงานกำไรสุทธิ ลดลง 10%YoY และ 33%QoQ โดยสาเหตุหลักๆที่กำไรรวมลดลงเป็นเพราะกลุ่มเครื่องดื่มได้แก่ ICHI และ SAPPE ซึ่งผลประกอบการมีน้ำหนักราว 30-40% ของกลุ่มฯกำไรลดลงถึง 40-60% YoY และ QoQ และเรายังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยง
บริษัทเติบโตโดดเด่นใน 3Q15 ได้แก่ SYNEX กำไร 94 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 52%YoY และ 8%QoQ) และFSMART กำไร 71 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 100%YoY และ 6%QoQ) จากปัจจัยหนุนหลักคือจำนวนตู้เติมเงินที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากค่าโฆษณาจาก AIS ที่จะเริ่มรับรู้ในเดือนนี้ (ธ.ค.)
บริษัทที่คาดกำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ได่แก่ PYLON (BUY, TP 12.20 บาท): จากการรับรู้รายได้ตาม backlog สำหรับ 4Q15 รองรับแล้ว 100% และคาดอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจาก u-rate ที่ปรับตัวสูงขึ้น TRC (Trading Buy, TP 2.30 บาท): อัตรากำไรขั้นต้นที่กลับมาเป็นปกติได้หลังจากต้นทุนบริษัทลูกในต่างประเทศจบลง และคาดผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนจะจำกัดในไตรมาสนี้
ธนรัตน์ อิศรกุล Tel. (662) 618-1334
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์/ปัจจัยทางเทคนิค