- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 13 November 2015 17:33
- Hits: 3010
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA -254.15, NASDAQ -61.94, S&P -29.03, FTSE -118.52, CAC -95.86 และ DAX -125.24
ภายใต้ปัจจัยกดดันจาก (1) ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.0% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายระยะยาวที่ 4.9% ขณะที่ถ้อยแถลงล่าสุดของประธานเฟด ไม่ได้กล่าวถึงแนวโน้มในระยะใกล้ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ระบุว่าควรประเมินการดำเนินการนโยบายการเงิน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง? ภายใต้วิกฤตการณ์ในตลาดการเงินโลก และ (2) หุ้นในกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคาน้ำมัน ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด ทรงตัวที่ระดับ 276,000 ราย สูงกว่าที่คาดว่าจะลดลงไปอยู่ที่ 270,000 ราย อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 36 ติดต่อกัน และยังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง
.....ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$1.18 อยู่ที่ US$41.75 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบล่าสุด เพิ่มขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล (สูงกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล) อยู่ที่ 482.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่อยู่ระหว่างการประชุมโอเปกในวันที่ 4/12/58 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกรายใหญ่ของโอเปกส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการผลิต และระบุว่า การปรับลดการผลิตจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด
.....ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$3.9 อยู่ที่ US$1,081.0 ต่อออนซ์ โดยยังได้รับปัจจัยกดดันจากเงินสหรัฐฯ ที่
แข็งค่า และคาดการณ์ว่าเฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. (15 – 16/12/58)
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -3,530 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปีสุทธิ -110,280 ล้านบาท (ปี’57 ยอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท)
ทิศทางตลาด :
ทิศทางตลาด : มีโอกาสลดลง? แต่คาดเป็นไปอย่างจำกัด หลังดัชนีลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ภายใต้ปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ประเด็นเดิมที่คาดสร้างความผันผวนให้กับตลาดฯ ไปจนถึงกลางเดือนหน้า จากการคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบการประชุมครั้งหน้า (15 – 16/12/58) ซึ่งคาดมีผลต่อทิศทางการไหลออกของ Fund Flow โดยเฉพาะจากตลาด Emerging Markets และคาดคาดยังได้รับปัจจัยลบจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ซึ่งคาดอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ตามอาจได้รับปัจจัยบวกเข้ามาบ้างจากคาดการณ์ว่า ECB อาจใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งอาจเพิ่มวงเงิน QE หรือขยายระยะเวลาออกไป (จากต้นปีทีผ่านมา ECB ประกาศวงเงินซื้อพันธบัตร จำนวน 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน ถึงกันยายน’59 โดยเริ่มซื้อมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้งหมด 18 เดือน เป็นวงเงินรวมประมาณ 1.1 ล้านยูโร)
…..เช่นเดียวกับประเด็นในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร หลังราคาปรับลดลงแรงวานนี้ คาดสะท้อนผลการประมูล 4G บนคลื่นความถี่ 1800MHz ไปแล้วระดับหนึ่ง โดย ADVANC และ TRUE ชนะการประมูล ด้วยมูลค่ารวม 80,778 ล้านบาท ขณะที่ยังแนะจับตา (1) หุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่คาดได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่ลดลง (32 การเก็งกำไรผลการดำเนินงาน – 3Q/58 ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายๆ ของการประกาศงบฯ และ (3) หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD, CK, STEC, UNIQ และ NWR หลังผ่านคุณสมบัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางฉะเชิงเทรา – คลอง 19 – แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. วงเงิน 10,525 ล้านบาท (แบ่งเป็น สัญญา 1 มูลค่า 9,926 ล้านบาท และสัญญา 2 มูลค่า 599 ล้านบาท) และ รฟท. จะเปิดเสนอราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในวันที่ 19/11/58 (พฤ.หน้า) ขณะที่ทางด้าน Fund Flow ต่างชาติยังขายสุทธิ 3,530 ล้านบาท โดยค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า
...โดยยังแนะติดตาม (1) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, PTTGC, TOP และ BCP จะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในช่วง 3Q/58 แต่เรามองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนในระยะยาวกลาง – ยาว (2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น CK, ITD, STEC และ UNIQ (3) ค่าเงินบาท ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 35.83 – 35.85 คาดมีโอกาสอ่อนค่าอีกครั้ง (4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC, SCCC และ TASCO เป็นต้น (5) กลุ่มโรงแรม (MINT, CENTEL) และหุ้นกลุ่มขนส่ง (เช่น AAV, AOT) หลังสถานการณ์การท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะช่วง High season ในช่วง 4Q/58
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.02 อยู่ที่ 2.32% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) +2.31 อยู่ที่ 18.37
หุ้นแนะนำ : CK
ประเด็นที่ต้องติดตาม (13 - 16 พ.ย.’58)
13/11/58 : สหรัฐฯ เปิดเผย (1) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) - ต.ค. (2) ยอดค้าปลีก - ต.ค. (3) สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ - ก.ย.
(4) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้น - พ.ย.
16/11/58 : สภาพัฒน์ฯ เปิดเผย GDP – 3Q/58 โดยคาด +0.7%qoq และ +2.6%yoy
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ 02-684-8788