WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'ยังแกว่ง...ซื้อใหม่เน้นค่าบวก, ค่าลบ Wait & See'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
    ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 11.97 จุด ปิดที่ 1402.57 จากความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.ออกมาดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนหันไปถือครองเงินสหรัฐมากขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นและโภคภัณฑ์ในระยะสั้น ต่างชาติขายสุทธิ 1 พันล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิเกือบ 1 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิเล็กน้อย ด้านรายย่อยสวนซื้อสุทธิ 2.2 พันล้านบาท

      ระยะสั้นมากตลาดยังกังวลว่าเมื่อเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะถึง Fund Flow ออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ และเศรษฐกิจโลกปี 59 อาจเติบโตได้ไม่มาก (ล่าสุด OECD ปรับลดคาดการณ์ Global GDP ปี 59 เป็น +3.3% จากเดิม +3.6%) จับตาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นเกิดใหม่ (รวมไทย) ราคาโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายจะมีการแสดงความคิดเห็นในสัปดาห์นี้ รวมถึงนางเยลเลน ประธานเฟด นายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด และนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนในประเทศมีเรื่องรายงานผลประกอบการ 3Q58 และการมองข้ามไปยังแนวโน้มปี 59 สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CENTELการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดพลิกเป็นลบ แต่ยังไม่ทิ้งโอกาสรีบาวด์หลังอ่อนตัว การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น1410-1420 จุด ค่าลบดูไม่ดี ให้ Wait & See เพราะมีโอกาสได้ซื้อต่ำ สำหรับหุ้นที่ทำการ SCAN มาพบว่าหุ้นที่มีโอกาสทำ New High และน่าสนใจคือ BEAUTY, THANI, TPCH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน LIST ได้แก่ DCC, GUNKUL, KKC, MTLS, CENTEL, MSC, SYNTEC, PLANBส่วนหุ้นที่หลุด LIST คือ APCS, BLA และหุ้นที่ควรหาจังหวะขายทำกำไรคือ S, GL2
Thailand Daily Trading Focus : 10 November 2015


Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- เศรษฐกิจโลก : OECD ปรับลดคาดการณ์ Global GDP Growthปี 59 ลงเป็น +3.3% (เดิม +3.6%) และเป็น +3.6% ในปี 60 โดยมองว่าเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มเกิดใหม่ (Emerging Countries) ยังอ่อนแอต่อไป สำหรับเศรษฐกิจจีน ทาง OECD คาดการณ์สำหรับปี59 ไว้ที่ +6.5% และปี 60 ที่ +6.2% โดยการเติบโตที่ต่ำกว่า 7% อย่างมีนัยสำคัญมาจากภาคการผลิตที่ชะลอตัวลง ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ +2.5% ในปี 59 หนุนโดยภาคการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และ OECD เตือนว่าการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.58 อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่

- VIX Index : สูงขึ้นเป็น 16.52 เพราะความกังวลกับการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่าทิศทางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนกลับเข้าตลาดเงินและตลาดทุนสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เป็นลบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่อาจจะมี Fund Flow ไหลออก

- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์ร่วง 1% ปัจจัยที่กดดัน คือค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นหลังโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.มีมากขึ้น (ข้อมูลสำรวจของ Bloomberg ระบุโอกาสความเป็นไปได้ล่าสุดอยู่ที่ 70%) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับลดแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 59 รวมถึงยอดการค้าต่างประเทศของจีนหดตัวมาแล้ว 8 เดือนต่อเนื่อง

- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงต่อเพราะวิตกภาวะอุปทานสูง โดยเมื่อคืนนี้สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบธ.ค.58 ปิด -0.42และ 0.23 ดอลลาร์ ที่ 43.87 และ 47.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่กดดัน คือ รายงานตัวเลขการผลิตของกลุ่มโอเปกที่สูงกว่าโควต้าที่ 30ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และอิหร่านมีแผนเพิ่มปริมาณการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่มี.ค.59 เป็นต้นไป ด้านสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐก็สูง โดยสัปดาห์ก่อนเพิ่มต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 อีก2.85 ล้านบาร์เรล รวมเป็น 482.8 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้กลุ่มโอเปกมีนัดหารือกันในวันที่ 4 ธ.ค.58 แต่ตลาดประเมินว่ากลุ่มโอเปกอาจไม่ปรับลดการผลิตลง
• ราคาทองคำ : สัญญาตลาด COMEX ขยับขึ้นเล็กน้อย ปิดตลาด +0.40 ดอลลาร์ที่ 1088.10 ดอลลาร์/ออนซ์
• ดัชนีดอลลาร์ : ลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ Dollar Cash Index เป็นตัววัดความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินสกุลหลัก 6สกุลของโลก ซึ่งเมื่อคืนนี้ปิดอ่อนลงเป็น 98.973 จากวันก่อนหน้าที่99.168

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
• การเบิกจ่ายงบโครงการบริหารจัดการน้ำและถนน : สนบ.เปิดเผยว่าการเบิกจ่ายเงินลงทุนตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการบริหารจัดการน้ำและถนนวงเงินรวม 8 หมื่นล้านบาท ได้เบิกจ่ายไปแล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเบิกได้3.5 หมื่นล้านบาท โดยเม็ดเงินที่อนุมัติจะเข้าสู่ระบบใน 4Q58+กลุ่มยานยนต์ : รองนายกฯสมคิดจะให้มีการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่ม โดยรัฐบาลมีแผนที่จะผลักดันด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีงบประมาณด้านนี้เพียง 0.4% ของ GDP ก็ให้เพิ่มเป็น 1% ของ GDPหรือมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 1.3 แสนล้านบาท/ปี โดยลำดับแรกๆ จะเน้นวิจัยและพัฒนาอุตสหกรรมยานยนต์เป็นหลัก ซึ่งมีมูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศที่ประมาณ 10% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เราประเมินว่ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ เพราะค่ายรถยนต์ต่างๆ โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากและมีกำลังการผลิตอยู่ในระดับที่มี Economy of Scale โดยอุตสาหกรรมมีการสะดุดตัวไปในช่วงที่เกิดอุทกภัยรุนแรง แต่ก็พลิกฟื้นขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน แล้วมาเจอกับการชะลอตัวของยอดขายในประเทศเพราะถูกกระทบจากโครงการรถคันแรก อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุตสาหกรรมจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นไป โดยหลักมาจากการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนเพื่อการส่งออก ส่วนยอดขายในประเทศอาจต้องใช้เวลาระบายอุปทานที่สูงมากในระบบ และรอให้หนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงมากผ่อนคลายลงก่อนในระยะยาวเรามองว่าอุตสาหกรรมยังไปได้ดี และยังคงเป็น Key หลักของการส่งออกของไทยได้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว หุ้นเด่น SAT, STANLY, AH

• THAI : ผ่าตัดองค์กร...ยอมรับปีนี้ขาดทุนหนัก โดยบริษัทอยู่ในแผนที่เน้นลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ปรับลดสิทธิประโยชน์บอร์ดบริหาร, รื้อเกณฑ์พนักงาน, ปรับเพิ่มสัดส่วนพนักงานเฟรซชี่ โดยคาดว่าแผนปรับโครงสร้างจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ส่วนผลประกอบการ3Q58-4Q58 คาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงปรับโครงสร้างภายในของกิจการ (โดยทั้งปี 58 มีโอกาสขาดทุนราว 2.1 หมื่นล้านบาท) แต่มีโอกาสที่จะพลิกกลับเป็นกำไรได้ในปี 59 เป็นต้นไปความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ทางฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ Rating เป็นถือในหุ้นTHAI โดยมองว่าราคาหุ้นได้ลงมารับข่าวลบไปพอควรแล้ว ความเสี่ยงขาลงยังคงมีอยู่แต่ไม่น่าจะรุนแรงมาก ทั้งนี้เราคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับเป็นกำไรได้ 5-6 พันล้านบาทในปี 59 หลังจากขาดทุนอย่างหนักในปีนี้ ณ ราคาปัจจุบัน 10.20 บาท ซื้อขายที่ฃEV/EBITDA ปี 59 ที่ 5.1 เท่า และมี P/BV ปี 59 ต่ำที่ 0.8 เท่า ในเชิงกลยุทธ์เป็นการซื้อสะสม/ถือเพื่อรอการฟื้นตัวในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!