- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 09 November 2015 17:56
- Hits: 1157
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐยังปรับฐาน หลังตลาดคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยใน ธ.ค. มีโอกาสเกิดขึ้น หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรดีกว่าคาด แต่ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับแรงหนุนจากหุ้น Domestic Play หลังดัชนีความเชื่อมั่นฟื้นตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ยังชอบ PLANB(FV@B8) มีโอกาสเข้า SET100 สูง Top picks วันนี้ ASK(FV@B23) และ MAKRO(FV@B47)
ตลาดให้น้ำหนัก FED ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. มากขึ้น
สัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสำคัญกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐมากขึ้นในการประชุม 15-16 ธ.ค. นี้ หลังจากการรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร สิ้นสุดเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดคาด กล่าวคืออยู่ที่ระดับ 2,71 แสนราย เทียบกับเดือนก่อนหน้า 1.42 แสนราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 11 เดือน (นับจาก ธ.ค. 2557) ซึ่งทำให้อัตราการว่างงานลดลง 5% (ลดลง 5 เดือนติดต่อกัน)เท่ากับเป้าหมายที่ FED กำหนดไว้ โดยจากผลการสำรวจ Fed Fund Rate ของ Bloombers ล่าสุดสรุปว่า โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยภายในเดือน ธ.ค. นี้สูงขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนที่เพียง 56% เป็น 68% (และจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25%) ที่เหลือ 32% ยังมองว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยฯ ซึ่ง ASPS เป็นกลุ่มหลัง โดยเชื่อการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ยังมีความเป็นไปได้น้อย โดยยังให้น้ำหนักต่ออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐพบว่ายังติดลบ 0.1% ซึ่งยังห่างไกลเป้าหมายที่ 2% อีกมาก และหากพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอดีตพบว่าอัตราเงินเฟ้อมักอยู่ในระดับสูง จึงเชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยฯ น่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2559 ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงอังกฤษที่คาดว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จนกว่าสหรัฐจะนำร่องไปก่อน เนื่องจากอังกฤษ เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อติดลบ
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นพบว่า Dollar Index มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือแข็งค่าราว 1.36% จากจุดที่อ่อนค่าสุดเมื่อ กลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 99.29 และแม้ว่าในสัปดาห์นี้จะมีโอกาสแข็งค่าต่อไป แต่คาดว่าจะติดแนวต้านที่ระดับ 100 จุด ซึ่งทำให้คาดว่าโอกาสแข็งค่าไม่มาก และหากพิจารณาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ได้ปรับตัวลดลงมา ทั้ง ทั้งน้ำมัน และทองคำ เป็นต้น จึงไม่จำเป็นต้องปรับลดพอร์ตแต่อย่างไร นักลงทุนที่มีอยู่แนะนำให้ถือต่อไป
ตลาดหุ้นจีนยังต่ำ และยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจีนมีการรายงานตัวเลขการส่งออกเดือน ต.ค. หดตัว 6.9% (สกุลดอลลาร์) จากเดือนก่อนที่หดตัว 3.7% นับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ทั้งนี้เป็นผลจากการเศรฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าปรับตัวดีขึ้น เล็กน้อย โดยหดตัว 18.8 %(เทียบกับเดือนก่อนหดตัว 20.4%) เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนตัว ทำให้เกินดุลการค้าสูงขึ้นอยู่ที่ 64.64 พันล้านดอลลาร์ (จากเดือนก่อน 60.3 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งหนุนให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 11.39 พันล้านดอลลาร์ และน่าจะหนุนให้ค่าเงินหยวนแข็งค่า ซึ่งยิ่งเงินหยวนผูกกับสกุลดอลลาร์ ยิ่งทำให้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลางและยาว อย่างไรก็ตาม จีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ที่ต้องการมุ่งเน้นบริโภคภายในประเทศแทนการส่งออก จึงอาจจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่ตลาดหุ้นจีน สัปดาห์ที่แล้วมีการปรับตัว เพิ่มขึ้น 6.13 % (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3,590 จุด) สวนทางกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านบางตลาดที่แกว่งตัวลดลง เช่น ฟิลิปปินส์ ลดลง 0.23 %, อินเดีย ลดลง 1.47% สัปดาห์นี้แม้ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสย่อตัว แต่น่าจะเพียงระยะสั้น เนื่องจากตลาดหุ้นจีนนับว่ามีความน่าสนใจ ปัจจุบัน ยังมีค่า P/E ที่ระดับ 8 เท่า ซึ่งต่ำมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP มีค่า P/E เฉลี่ย 16 เท่า จึงทำให้ตลาดหุ้นจีนมีโอกาส กลับไปทดสอบแนวต้านที่ 4,000 จุด (มี Upside 11.42%) และแนวต้านถัดไป 4 ,500 จุด (มี Upside 25.34%)
กลยุทธ์เน้น Domestic Play: PLANB, ASK, MAKRO
ส่วนตลาดหุ้นในประเทศไทย เชื่อว่าน่าจะได้รับแรงหนุน จากปัจจัยชี้นำเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ต.ค. (CCI) ฟื้นตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ซึ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจต่ำสุด และน่าจะหนุนความเชื่อมั่นต่อการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งน่าจะดีต่อบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง เริ่มจาก
กลุ่มลิสซิ่ง: เมื่อรวมกับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ ช่วยหนุนให้ความต้องการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคระดับล่างในหลายกลุ่ม อาทิ สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถจักรยานยนต์ ส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มฯ หลายบริษัท (LIT ([email protected]), TK ([email protected]), THANI (FV@B4) , ASK ([email protected])) แต่หลายบริษัทราคาหุ้นขึ้นมาแล้ว จึงแนะนำให้ซื้อบางแห่ง เช่น ASK, THANI ฝ่ายวิจัยชอบ ASK([email protected]) Fair Value ปีหน้าเป็น 23-24 บาท กำไรงวด 3Q58 เติบโตเล็กน้อย yoy และ qoq PER 9 เท่า และ dividend yield 8-9%
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปโภคบริโภค : MAKRO (FV@B47) เชื่อว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ยังเติบโตได้แม้เศรษฐกิจชะลอตัว จากการขยายสาขาต่อเนื่อง งวด 4Q58 คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดของปี และ ปี 2559 จะเติบโต 21% โดยมี PER 32.66 เท่าปีนี้ และ 27 เท่าในปีหน้า และ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากเดิมถือ เป็น ซื้อ
กลุ่มบันเทิง คาดงวด 4Q58 กลุ่มบันเทิงจะได้รับผลบวกจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้นดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งการอัดฉีดงบโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขายส่งท้ายปี โดยกลุ่มโรงภาพยนตร์ พบว่า เดือน ต.ค. จำนวนผู้ชมภาพยนตร์ฟื้นตัว หนุนรายได้ธุรกิจภาพยนตร์ของ MAJOR (FV@B34) เติบโตกว่า 40%yoy ทางด้าน Digital TV : WORK (FV@B45) กำไรแข็งแกร่งในงวด 3Q58 rating อยู่ที่ 9.2% ดีขึ้นต่อเนื่องจนอยู่ในลำดับที่ 3 รองจาก ช่อง 7 และช่อง 3 ที่ 33.6% และ 22.8% ตามลำดับ (ส่วน RS rating อยู่ที่ 5.9%) EPS Growth เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัวในปี 2558, 74% ปี 2559 และ 14% ในปี 2560 ขณะที่ราคาหุ้นมีค่า PER 74 เท่าในปีนี้ และ 42 เท่าในปีหน้า และราคาหุ้นมี upside 5% สื่อโฆษณานอกบ้าน : PLANB(FV@B8) กลายเป็นสื่อนอกบ้านอันดับ 1 ของไทย หลังจากได้ผูกขาดเป็นตัวแทนขายแต่เพียงผู้เดียวให้ Hello Bangkok (รายใหญ่อันดับ 3 ของไทย) คาดกำไรทั้งปี 2558 จะเติบโตกว่าเท่าตัว และ 41% ในปี 2559 ช่วยให้ Expected PER ปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 55 เท่า ลงมาเหลือ 39 เท่าในปี 2559 และเหลือเพียง 31 เท่าในปี 2550 เลือกเป็น 1 ใน Top Pick กลุ่ม
ยังให้น้ำหนักหุ้นเข้า SET50, SET100 ใน 1H59 แนะนำ PLANB (FV@B8)
เชื่อว่าสัปดาห์นี้ตลาดยังให้น้ำหนัก หุ้นที่จะเข้า – ออก SET50-SET100 (ใช้ข้อมูล 1 ปี สิ้นสุด พ.ย. 2558 ขณะนี้ใช้ข้อมูลถึงสิ้นเดือน ต.ค. เท่านั้น) โดยจะเริ่มนำไปใช้คำนวณต้นปี 2559 แม้ข้อมูลยังสมบูรณ์ แต่นักวิเคราะห์ ASPS ประเมินรายชื่อหุ้นเบื้องต้น ดังนี้
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET50 มี 4 บริษัท: TASCO, SUPER, STEC และ MTLS แต่เนื่องจากราคาหุ้นเต็มมูลค่าเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2558 แนะนำชะลอการลงทุนหุ้นดังกล่าวออกไปก่อน
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET50: GLOW, RATCH, M และ THCOM กลยุทธ์ระยะสั้นแนะนำขายหรือ Switch GLOW, RATCH, M เนื่องจากมีโอกาสหลุดทั้ง SET50 และ SET100 ในรอบถัดไป ส่วนหุ้น THCOM ยังโอกาสหลุด/ไม่หลุด 50/50 นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่สามารถถือลุ้นต่อหรือ Switch ไปหุ้นตัวอื่นได้ (คำนวณมูลค่าตลาดเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อยู่ลำดับที่ 51 ซึ่งน้อยกว่า MTLS ซึ่งอยู่ใน ลำดับที่ 50 อยู่เล็กน้อย) บวกกับราคาหุ้นมี upside สูงถึง 65% (เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2558) แล้วธุรกิจยังมีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่นในช่วงที่เหลือของปี และดีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 มี 15 บริษัท: TASCO, SUPER, MTLS, GPSC, PTG, EPG, CHG, VNG, PLANB, IFEC, GL, WORK, PLAT, SAMTEL และ SCN ส่วนใหญ่ราคาหุ้นจะมี upside จำกัด และฝ่ายวิจัยมิได้ทำการศึกษา อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นที่น่าสนใจ และมี upside คือ WORK และ PLANB(FV@B8) ที่ทางฝ่ายวิจัยเลือกเป็น Top Pick
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET100: GLOW, RATCH, M, GLOBAL, U, TICON, MC, SF, SGP, ERW, DEMCO, SAPPE, ASP, MONO และ LOXLEY พบว่าบางบริษัทราคาหุ้นเกินมูลค่าพื้นฐาน ยกเว้นบางหุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุน และมี upside สูง คือ SF, ERW ยังแนะนำถือต่อไปสำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ หรือ รอซื้อสะสม เมื่อราคาย่อตัวเช่นกัน
จากผลการศึกษาข้างต้นพบว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเข้า SET50, SET100 มีราคาเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว ยกเว้น PLANB(FV@B8) จึงเลือกเป็น Top Pick (เข้า SET100) ขณะที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รายละเอียดดังกล่าวข้างต้น
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์