- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 October 2015 17:37
- Hits: 1298
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ฤดูกาลรายงานงบ 3Q58 ของ ธ.พ. คาดว่ายังมีแรงขายเป็นตัวกดดันตลาด ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นที่มีผลกำไรเด่นยังช่วยประคองตลาด BA([email protected]), SIAM([email protected]) และ SYNTEC([email protected]) เลือก JMART([email protected]) เป็น Top pick คาด 3Q58 กำไรฟื้นตัวแรง
แรงกดดันจากการรายงานงบฯ ยังมีอยู่
หลังจากกลุ่ม ธ.พ. ประมาณงบการเงิน แล้ว 5 บริษัท คือ TMB, TCAP, KKP, SCB และ TISCO (ประกาศงบมาตั้งแต่วันศุกร์) ซึ่งมีผสมทั้งที่ดีกว่าคาดและต่ำกว่าคาด กล่าวคือ TMB และ KKP ดีกว่าคาด แต่ TMB คาดว่าแนวโน้ม 4Q58 จะอ่อนตัวลง จากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองหนี้ฯ อันเป็นผลของฤดูกาล ตรงข้ามกับ SCB ต่ำกว่าคาดราว 11% จากการลดลงของรายได้ในทุกส่วน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ ฯ จากการจัดชั้นลูกหนี้ SSI เป็น NPL โดยรวมจะยังคงประมาณการกำไรปี 2558 ที่คาดว่าจะหดตัว 11.6%yoy แต่จะฟื้นตัวได้ถึง 17.4%yoy ในปี 2559 และ TCAP แม้ผลกำไรงวดนี้ต่ำกว่าคาดแต่เพียง 4% ส่วนแนวโน้มกำไรงวด 4Q58 ยังทรงตัว และจะกลับมาเติบโตในปี 2559 ราว 18.4%
ขณะที่วานนี้มีการรายงานงบของ KBANK ซึ่งกาไรเป็นไปตามคาด เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่รายได้มีการลดลง ส่วน 4Q58 ผลการดำเนินงานยังอ่อนตัว
แต่จะกลับมาเติบโตได้ในปี 2559 จากภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง โดยรวมเชื่อว่าราคาที่ลดลงได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว ยังเลือกเป็น top pick กลุ่ม ธ.พ. ขณะที่ BBL กำไรออกมาใกล้เคียงที่คาดเช่นกัน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมฯ แต่ก็ยังเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสารองหนี้ แต่โดยภาพรวมยังถือได้ว่าคุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่ง
ขณะที่ภาคธุรกิจ (Real Sector) คาดว่าผลกำไรน่าจะดีร้ายคละเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำจากงวด 2Q58 ทั้งนี้คาดว่า PTTEP จะบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ราว 2 หมื่นล้านบาท (กระทบต่อ PTT ซึ่งถือหุ้น 65.29% ใน PTTEP) ตามด้วย SSI จะต้องบันทึกขาดทุนจากการบริษัทย่อย (SSI UK) ที่ประสบปัญหาและต้องปิดกิจการไป จนทำให้ SSI ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งหากรวมผลกระทบจากกรณีของ PTTEP และ SSI เข้ามาด้วยกันแล้ว ก็เป็นไปได้ที่จะมีกระทบต่อประมาณการกาไรสุทธิปี 2558 ของบริษัทจดทะเบียนรวม ซึ่งทำให้ EPS และ EPS Growth ปี 2558 ที่ประเมินไว้ 89.63 บาท และ 16.8% จะไม่สามารถเป็นไปตามประมาณการ แต่อย่างไรก็ตาม หากมองไกลออกไปในปี 2559 คาดว่า EPS และ EPS Growth จะมีสูงมากกว่า 101.92 บาท และ 13.7% ตามประมาณการเดิม และ ASPS เตรียมจะใช้ดัชนีเป้าหมายปี 2559 โดยอิง EPS 2559 จะอยู่ที่ 1,580 จุด แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ยังใช้ดัชนีเป้าหมายเดิม คือ 1,480 จุด ทั้งนี้จะประกาศใช้ดัชนีเป้าหมายใหม่เมื่อการรายงานงบ 3Q58 เสร็จสิ้นราว เดือนกลางเดือน พ.ย. 2558
ให้ความสนใจหุ้นที่มีกำไรเด่นในงวด 2H58 ราคาหุ้นมี upside
นอกจากกลุ่มเสนอให้ลงทุนในหุ้นที่มีผลกาไรเติบโตตามฤดูกาล ได้แก่ ภาคท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะมีกาไรที่ดีขึ้นในงวด 2H58 ได้แก่ ธุรกิจการบิน ชื่นชอบ BA([email protected]) มากสุด ทั้งเรื่อง earnings momentum, EPS Growth และ PER ของธุรกิจการบิน ถือว่าต่าสุดเพียง 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินครบวงจรทั่วโลกที่ 14.2 เท่า AOT(FV@B344) ในฐานะเป็นผู้ผูกขาดบริการสนามบินเพียงรายเดียว ทั้งยังมีความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่มีความคืบหน้าอีกครั้ง คาดจะช่วยเพิ่มกำลังให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคน และ ตามมาด้วย ธุรกิจโรงแรม ยังชื่นชอบ ERW([email protected]) มากสุด โดยคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับมามีกาไรใน 4Q58 และมากขึ้นใน 1Q59 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ของการท่องเที่ยว และมี upside สูงสุดราว 20%
เช่นเดียวกับกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก พบว่ามีแนวโน้มที่ดี กล่าวคือ SYNTEC ([email protected]) คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 3Q58 เติบโต 7% qoq ผลมาจาก gross margin งานก่อสร้างที่สูงกว่า 13% และต่อเนื่องถึงปีหน้าที่ 15% โดยภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปียังสดใสเป็นอย่างมาก จากการเซ็นสัญญารับงานใหม่กว่า 16 โครงการ หนุน Backlog รองรับการสร้างรายได้ยาวถึงปี 2561 ในส่วนธุรกิจอพาร์ตเมนท์ให้เช่า คาดว่าน่าจะสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ คาดการณ์กาไรปีนี้จะเติบโต 11%yoy และ 10.2% ในปีหน้า ด้าน valuation ยังมีระดับ Expected PER ในปีนี้ที่ระดับต่าเพียง 11.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 21 เท่า และมี upside สูงกว่า 22%
SIAM (FV@B 4.86) กำลังจะเบนเข็มไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้เสนอร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าโซล่าร์ให้กองทัพเรือ 40 MW และโรงไฟฟ้าขยะกำลังการผลิตรวม 15 MW ภายในปี 2561 แม้จะมีโอกาสต้องเพิ่มทุน แต่มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่อจากจะทำให้กาไรเติบโตก้าวกระโดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 70% ระหว่างปี 2559-2561 และจะสามารถรักษาฐานกำไรระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง จากสัญญาซื้อขายไฟที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า ส่วนหุ้นบริการ ICT ยังคงชะลอตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่
SIM (FV@B 1.8) คาดกำไร 3Q58 อ่อนตัวทั้ง qoq และ yoy จากการแข่งขันรุนแรง กดดันรายได้ลดลงทั้ง yoy และ qoq (จานวนเครื่องขายลดลงทั้ง qoq และ yoy ขณะที่ราคาขายทรงตัว qoq แต่ลดลงมาก yoy) ส่วน 4Q58 มีแนวโน้มฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย qoq ตามฤดูกาลจับจ่าย รวมถึงมีงาน mobile expo เดือน ต.ค. (ทรงตัว yoy) คาดภาพรวมกำไรปกติทั้งปี 58 สอดคล้องประมาณการ (หดตัว yoy) และมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องในปีหน้า ตามการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ยังสูง ขณะที่ราคาปัจจุบันเชื่อว่าสะท้อนผลประกอบการเลวร้ายไปแล้ว แต่มูลค่าพื้นฐานมี Upside จำกัด แนะนาถือ
ตรงข้ามกับ SAMTEL([email protected]) คาดงวด 3Q58 กำไรฟื้นตัวทั้ง qoq และ yoy จากการทยอยรับรู้รายได้จาก Backlog สิ้นงวด 2Q58 ซึ่งมีอยู่ราว 6 พันล้านบาท และที่เซ็นสัญญารับงานใหม่อีก 7.6 พันล้านบาท โดยรวมคาดจะมีการรับรู้รายได้ในงวด 3Q58 ราว 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% qoq และ 3% yoy ขณะที่ Backlog ณ สิ้น 3Q58 พุ่งขึ้นเป็นกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ งวด 4Q58 คาดกำไรเพิ่มขึ้น qoq ต่อเนื่อง (และเพิ่มขึ้น yoy) เพราะงานที่เข้ามามากใน 3Q58 รับรู้รายได้เต็มไตรมาสครั้งแรกในงวด 4Q58 กำไรทั้งปีสอดคล้องประมาณการ และเติบโตต่อเนื่องอีกในปีหน้า จาก Backlog ที่สูง รองรับรายได้ 67% ของเป้าหมาย มูลค่าพื้นฐานปีนี้ที่ 21.9 บาท มี upside จากัด แต่มูลค่าพื้นฐานปีหน้าราว 25-27 บาท ยังพอมี upside จึงคงคำแนะนาซื้อ
ขณะที่ SAMART ([email protected]) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ SIM และ SAMTEL คาดว่างวด 3Q58 กำไรทรงตัว qoq (แต่ยังลดลง yoy) การอ่อนตัวของ SIM หักล้างการฟื้นตัวของ SAMTEL แต่สาหรับงวด 4Q58 คาดกำไรปกติทรงตัว qoq และ yoy แม้ทั้ง SIM และ SAMTEL จะฟื้นตัว แต่กำไรจากธุรกิจของบริษัทย่อยที่อยู่นอกตลาดฯ จะอ่อนตัว เพราะขาย set top box และเสาอากาศลดลง คาดกำไรทั้งปีนี้อ่อนตัว (ตามประมาณการ) ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวปีหน้า หลักๆ มาจากการฟื้นตัวของ SAMTEL มูลค่าพื้นฐานปีนี้มี Upside จากัด แต่มูลค่าพื้นฐานปีหน้าในเบื้องต้นจะอยู่ที่ราว 28 บาท ยังมี upside ลงทุนได้ อีกทั้งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติม (1-2 โรง จากแผนเดิม 4โรง) ราว 0.14 บาท ต่อการลงทุน 1 MW และโรงฟ้าแสงอาทิตย์ที่เป็นแผนลงทุนใหม่ จึงยังคงคำแนะนา “ซื้อ”
และ JMART([email protected]) คาดงวด 3Q58 กำไรปกติจะฟื้นตัว qoq (ทรงตัว yoy) จากรายได้ฟื้นตัวจากธุรกิจมือถือ (ขาย SAMSUNG รุ่นใหม่ไตรมาสแรก) และธุรกิจพื้นที่เช่าที่ JMART ปรับเพิ่มค่าเช่า เช่นเดียวกับธุรกิจติดตามหนี้ JMT (JMART ถือหุ้น 56%) ที่กำไร 2Q58 มีฐานต่า จากการสำรองหนี้สูญ ขณะที่คาดว่า งวด 4Q58 กำไรปกติจะฟื้นตัว qoq ต่อเนื่อง (ทรงตัว yoy) จากผลของฤดูกาล, การกระตุ้นยอดขายจาก mobile expo และ การขาย iPhone รุ่นใหม่ โดยภาพรวมแม้กาไรทั้งปีคาดอ่อนตัว 21.7% จากปี 2557 แต่ปี 2559 คาดจะกลับมาเติบโตจากการเติบโตตามบริษัทย่อยคือ JMT (JMART ถือหุ้น 56%) การฟื้นตัวเล็กน้อยของธุรกิจขายมือถือที่จะขยายสาขาไปในสาขา SINGER 100 สาขาต่างจังหวัด และได้ผลบวกเพียงเล็กน้อยจากการเติบโตของ J (ปัจจุบัน JMART ถือหุ้น 100% แต่จะลดลงเหลือ 67.5% หลัง J เข้าจดทะเบียนในตลาด พ.ย. 2558) มูลค่าพื้นฐานมี upside ถึง 28% ยังแนะนา “ซื้อ”
เศรษฐกิจสหรัฐยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หนุน Fed เลื่อนขึ้นดอกเบี้ย
วานนี้ มีการประกาศดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยในส่วนตลาดบ้านเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจาก ยอดเริ่มสร้างบ้าน เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.21 ล้านยูนิต (เพิ่มขึ้น 6.5% MoM) มากกว่าที่ตลาดคาด 1.14 ล้านยูนิต (เพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3) บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตลาดบ้านของสหรัฐ อย่างไรก็ตามแม้ภาคครัวเรือนจะยังค่อนข้างดี แต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว น่าจะเป็นปัจจัยกดดันทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ภายในปีนี้เป็นไปได้ยาก (เหลือการประชุม อีก 2 ครั้งในปีนี้คือ 27-28 ต.ค. และ 15-16 ธ.ค.) และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วสุดคือต้นปีหน้า (ล่าสุด Fed Fund Rate ชี้ว่าโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 32.3% และเดือน มี.ค. 2016 อยู่ที่ 54.7%)
ขณะที่การรายงานงบ 3Q58 ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นโลกเช่นกัน หลังช่วงแรกได้มีการประกาศงบของกลุ่มธนาคารหลักทรัพย์ และอุตสาหกรรมออกมาบางส่วนแล้ว แต่ยังคงไม่มีความชัดเจนถึงแนวโน้มของตลาดจากรายงานผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมายังคงมีทั้งสูงกว่าและต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งล่าสุด EPS Growth ในสัปดาห์นี้อยู่ที -4.6% เทียบกับสัปดาห์ก่อนที่ -5.6% นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ที่ -3.2% (ครั้งก่อน -5.9%) และยังคงถูกกดดันจาก กลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุฯ ที่ -64.9%,-19.9 ตามลำดับ ทำให้ Forward P/E ล่าสุดอยู่ที่ 16 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีและ 10 ปีที่ 14.1 เท่า
ตรงข้ามกับฝั่งของ ยุโรป ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้มาตรการทางการเงินต่อเนื่อง หลังจากความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ล่าสุดอยู่ที่ ติดลบ 0.1%YoY โดยในวันพรุ่งนี้ 22 ต.ค. จะมีการประชุม ECB ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะยังคงมาตรการดังเดิม แต่น่าจะมีการขยายมาตรการ QE ในช่วงของการประชุมเดือน ธ.ค. แทน
ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค
วานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 220 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนือ่งเป็นวันที่ 2) แต่เป็นการขายสุทธิอยู่ประเทศเดียว คือ ฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 14 ล้านเหรียญ ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิคือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 172 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 46 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนือ่งเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ถูกซื้อสุทธิราว 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนไทยต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 12 ล้านเหรียญ หรือ 421 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 701 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงจาก แรงขายทากำไรของพอร์ตโบรกเกอร์ที่ซื้อสุทธิสะสมต่อเนื่องเป็นวันที่ 12 โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมรวมสูงเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 25,388 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 326 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.42 บาท/ดอลลาร์
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์