- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 October 2015 17:36
- Hits: 949
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Selective Buy
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ เกิดการปรับฐานรอบสั้น เนื่องจากเป็นการซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียเป็นลบ จากแรงขายทำกำไรรอบสั้น เพียงแต่แนวรับ 1,415-1,420 จุด ยังทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,418.38 จุด ลบ 6.94 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45,566 ล้านบาท
ทั้งนี้เงินทุนต่างชาติชะลอตัว แม้คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นเป็นวันที่ 2 อีก 812 ล้านบาท แต่กลับมา Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,458 สัญญา และ ขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ 3,310 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจัยสำคัญวันนี้
แท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7
ติดตามการรายงานงบ 3Q58 ของ KBANK / SCB / TMB / KKP วันนี้
ติดตามการประกาศ GDP ใน 3Q58 ของจีน Bloomberg consensus คาด 6.8% yoy ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 7.0% yoy
มุมมองต่อตลาด
เราคงมุมมองการลงทุน "กลางถึงบวก" วันที่ 8 พร้อมให้น้ำหนักต่อ SET INDEX กลับมายืนเหนือ 1,420 จุด อีกครั้ง หลังพักฐานในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เมื่อสหรัฐฯ รายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 ทำให้ความกังวลต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบคลายตัวลง เป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี ที่พักฐานในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
อีกทั้งกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นหลัก เชื่อว่าจะมีแรงสะสมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็งกำไรต่อผลการดำเนินงานใน 3Q58 ที่จะทยอยประกาศในวันนี้ และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 21 ต.ค. ทั้งนี้นักวิเคราะห์ในตลาดประเมินผลการดำเนินงานในกรณีที่เลวร้าย (Worst Case Scenario) ไปแล้ว ดังนั้นโอกาสที่งบจะออกมาเท่ากับคาด หรือ เกิดเป็น Positive Surprise จะมีความเป็นไปได้สูง กลายเป็นจุดที่ทำให้เกิดแรงซื้อเก็งกำไรรอบสั้นต่อประเด็นนี้
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในวันนี้ อยู่ที่ GDP ใน 3Q58 ของจีน ณ ปัจจุบัน Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 6.8% yoy ชะลอตัวจาก 2Q58 ที่เติบโต 7.0% yoy
หาก GDP ออกมาใกล้เคียงคาด เชื่อว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะตอบรับในเชิงบวก เพราะก่อนหน้านี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างกังวลต่อเศรษฐกิจของจีนเสี่ยงต่อการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่ทางการจีนกำหนดไว้ 6.8-7.0%
หาก GDP ออกมาต่ำกว่าคาด เชื่อว่าตลาดหุ้นในเอเชียและทั่วโลกจะตอบรับในเชิงบวก ยกเว้นตลาดหุ้นจีน ที่น่าจะมีการเก็งกำไรต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีน เข้ามาผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนขยับขึ้นสวนทางกับภาพรวมทั่วโลก ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา ก่อนการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปลายเดือนต.ค.นี้
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนถือพอร์ตรอขายทำกำไรรอบนี้บริเวณ 1,440 จุด +/- แต่หากหุ้นเป้าหมายกลับปรับฐานลงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย กลายเป็นจังหวะของการเพิ่มน้ำหนักเก็งกำไรมากขึ้น"
Top Pick in 4Q15: BMCL / ITD/ TMB/ TPIPL
HOLD: ITD / TPIPL/ ADVANC/ WHA/ IFEC/ INTUCH/ KTB
Speculative Buy: KTB/ IRPC
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ได้แก่
1. IRPC : ราคาปิด 4.14 บาท ราคาเหมาะสม 4.60 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะเป็นกลุ่มนำตลาดในวันนี้ จากการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ NYMEX +1.9% และ BRENT +1.8% dod เนื่องจากสหรัฐฯรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน
b) คาดผลประกอบการ 3Q58 โดดเด่นสุดในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น โดยคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 2.75 พันล้านบาท +1% qoq และพลิกกลับขาดจากขาดทุนจากการดำเนินงานปกติใน 3Q58 ขณะที่กำไรสุทธิ 3Q58 คาดการณ์ที่ 916 ล้านบาท เทียบกับ PTTGC และ TOP ที่คาดว่าจะรายงานผลขาดทุนสุทธิใน 3Q58
c) ผลประกอบการ 4Q58 คาดว่าจะฟื้นตัว qoq เนื่องจากมีโอกาสที่จะกลับมาบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่โครงการ Phoenix คาดว่าจะเสร็จสิ้นการทดสอบ และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี และจะเป็นปัจจัยผลักดันกำไรปี 2559
d) คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2559 เติบโตถึง +37% yoy เป็น 8,581 ล้านบาท และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER2559 ระดับ 9.8 เท่า หรือเทียบเท่า PEG เพียง 0.3 เท่า
2. KTB : ราคาปิด 18.00 บาท ราคาเหมาะสม 19.42 บาท (อิงเป้าหมายของ Consensus)
a) หุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานผลประกอบการ 3Q58 ในสัปดาห์นี้ โดย MBKET คาดว่า Downside Risk ค่อนข้างจำกัดแล้ว
b) เนื่องจาก Consensus ประเมินกำไรสุทธิ 3Q58 ไว้ค่อนข้างระมัดระวังแล้ว ดังนั้น หากกำไร 3Q58 ออกมาดีกว่าคาดการณ์ของตลาดจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น
c) คาดสินเชื่อจะเข้าสู่การฟื้นตัวตั้งแต่ 4Q58 เป็นต้นไป และต่อเนื่องในปี 2559 ตามความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น จากการอัดฉีดนโยบายของภาครัฐฯ เข้าสู่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และภาค SME ตั้งแต่ต้น 3Q58 ที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯจะเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2559
d) KTB ได้ประโยชน์โดยตรงเนื่องจากเป็นธนาคารหลักที่ปล่อยกู้สูงสุดให้กับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ขณะที่งบ 3Q58 แม้จะมีทิศทางลดลงมากทั้ง yoy และ qoq จากการตั้งสำรองหนี้ของ SSI แต่เชื่อว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการแล้ว
e) Valuation ค่อนข้างถูก ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ที่ PBV 2559 เพียง 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.1 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4.5% ต่อปี
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$137 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$399 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
เม็ดเงินต่างชาติกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง
นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 812 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 1,730 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 1,005 ล้านบาท แต่ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงสูงกว่า 1.0 แสนล้านบาท เป็น 100,545 ล้านบาท
แต่ SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติกลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 1,458 สัญญา เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 11,660 สัญญา สมเหตุสมผลกับการปิดสถานะ Long เพราะ S50Z15 ปิดสูงกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 2 แม้ว่าจะลดลงเหลือ 0.97 จุด จากวันก่อนหน้า Premium เท่ากับ 1.27 จุด ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 75,653 สัญญา และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเท่ากับ 14,929 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิอีกครั้ง เพียง 3,310 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 2 เพียง 0.82bps จากวันก่อนหน้าที่ลดลงมากถึง 8.29bps ปิดที่ 2.540%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เพิ่มขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 583 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 394 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10 ยังคงเน้นกลุ่มธนาคาร และ กลุ่มพลังงาน
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 2,263 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,498 ล้านบาท รวม 10 วันทำการซื้อสุทธิ 13,099 ล้านบาท ท้งนี้เป็นการเน้นสะสมกลุ่มธนาคารและพลังงานโดดเด่นต่อเนื่อง สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้
1. กลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 6 อีก 566 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 985 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 513 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 328 ล้านบาท กลุ่ม ขนส่ง ซื้อสุทธิ 330 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 204 ล้านบาทกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซื้อสุทธิ 328 ล้านบาท และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 240 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่ม ICT ถูกขายสุทธิสูงสุด 182 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 352 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจ ออกมาดีกว่าคาด
ผลผลิตภาคอุตฯ เดือนก.ย.หดตัว 0.2% mom ดีกว่าที่ Bloomberg consensus คาด -0.3% mom แต่แย่กว่าเดือนก่อนหน้าที่ -0.1% mom โดยภาคการผลิตหดตัว 0.1% mom เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
ดัชนี Consumer sentiment เดือนต.ค. เท่ากับ 92.1 จุด ดีกว่า Bloomberg cosnenus คาด 89.5 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 87.2 จุด เป็นระดับดีที่สุดในรอบ 6 ปี
ยุโรป
สมาชิก ECB ส่งสัญญาณเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมาย: นาย Nowotny ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อ และ อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงของอียู มีความชัดเจนที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนดไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้ จะอยู่ที่ 0.1% และปีหน้า ที่ 1.1% จากผลกระทบของราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งด้วยปัจจัยนี้ ทำให้ ECB ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักกับปัจจัยดังกล่าว
จีน
จีนชนะการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่อินโดนีเซีย: มูลค่าเงินลงทุน US$5.0 พันล้าน โดยบริษัท China Railway International และ Consortium ของรัฐวิสาหกิจในอินโดนีเซีย ตกลงร่วมสร้างรถไฟความเร็วสูงจากจาการ์ต้า ไปยังเมือง บันดุง และเตรียมที่จะลงแข่งในโครงการก่อสร้างอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้เงินลงทุน 3 ใน 4 จะมาจากธนาคาร China Development และไม่จำเป็นต้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียมาค้ำประกันเงินกู้
เอเชียแปซิฟิก
บริษัทใหญ่สุดในเวียดนามเตรียมเพิ่มเพดานการถือครองโดยต่างชาติ: บริษัท Vietnam Dairy Products JSC เตรียมขยายเพดานการถือครองโดยต่างชาติ หลังรัฐบาลได้อนุมัติแผนดังกล่าวเป็นสูงสุด 100% จากเดิม 49%
ไทย
คลังรับ GDP ปีนี้โตแค่ 2.8%: กระทรวงการคลังประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้ ล่าสุดจะขยายตัวได้ 2.8% จากเดิมที่ประมาณการไว้ 3% เนื่องจากการส่งออกแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยคาดว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวติดลบมากกว่า 5% จึงเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจของไทยปีนี้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายภาครัฐ การใช้จ่ายบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2-3 ชุด ที่รัฐบาลได้ออกมาต่อเนื่อง มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปี 2558 นี้ได้อย่างมาก ส่วนปีหน้าเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ดี การส่งออกของไทยก็จะฟื้นตัวกลับมาได้ คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวได้ 3.4-3.8% โดยประเมินว่าในส่วนของการส่งออกจะขยายตัวได้ 6-7%
คมนาคมเปิดเอกชนชิงเค้กลงทุน 3.3 แสนล้านบาท: แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผยถึงแนวทางการจัดหาแหล่งเงินเพื่อลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศระยะเร่งด่วน ปี 2558 และระยะ 2 ปี 2559-2560 จำนวน 19 โครงการ รวมทั้งสิ้น 1,7 ล้านล้านบาท ตามนโยบายรัฐบาลว่าจะจัดหาจาก 5 แหล่ง ประกอบด้วย 1.จัดสรรจากงบประมาณวงเงิน 220,329 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12.43%, 2.แผนบริหารหนี้สาธารณะวงเงิน 1,148,038 ล้านบาท คิดเป็น 64.76% 3.เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนวงเงิน 336,721 ล้านบาท คิดเป็น 19% 4.เงินรายได้จากรัฐวิสาหกิจวงเงิน 53,372 ล้านบาท 3 % และ 5.เงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง วงเงิน 14,200 ล้านบาท คิดเป็น 0.80% จะเห็นว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนั้น รัฐบาลเปิดกว้างให้เอกชนได้เข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐด้วย ซึ่งก็คิดเป็นวงเงินสูงถึง 3.3 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 19% ของวงเงินลงทุนทั้งหมด มั่นใจว่าจะดึงดูดให้นักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2559 ให้คึกคักตามนโยบายของรัฐบาลได้แน่นอน
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530