- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 October 2015 18:54
- Hits: 2958
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ช่วงสั้นขยับขึ้นต่อ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้พุ่งขึ้นแรง 20.24 จุดปิดที่ 1425.32 จุด โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคาร, พลังงาน, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร โดยพอร์ตบล. นักลงทุนต่างชาติ และสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ ส่วนรายย่อยขายสุทธิในช่วงนี้ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีผลต่อตลาดหุ้นและทองคำมาก โดยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงในช่วงสั้นเพราะตลาดประเมินว่าเฟดจะเลื่อนระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นปัจจัยหนุน แต่ถ้าสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยเปลี่ยนมาทางตรงข้ามแล้วทำให้ค่าเงินUS$ แข็งค่าขึ้น ค่าเงินประเทศอื่นๆอ่อนลง ก็จะก่อให้เกิดแรงขายหุ้นและทองคำได้ ดังนั้นเรายังต้องติดตามข้อมูลและระมัดระวังการลงทุนแม้ว่าภาพของตลาดหุ้นจะดูเป็นบวกขึ้นในระยะนี้ สำหรับในประเทศ กำลังติดตามผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ออกมา โดยในส่วนของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจะเห็นผลดีให้เกิดการซื้อ/โอนได้เร็วตั้งแต่ 4Q58 นี้เลย ส่วนมาตรการกระตุ้นรากหญ้าและช่วยเหลือSME รวมถึงการเร่งการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเห็นผลดีตั้งแต่ 1Q59 เป็นต้นไป กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีกำไรดีขึ้นใน 4Q58และ 1Q59 ดี คือ กลุ่มท่องเที่ยว สนามบิน สายการบิน เป็นต้น หุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจเป็น AOT, AAV
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก และการซื้อใหม่ก็แนะนำให้ตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1430-1440, 1450 จุด ค่าลบ/ต่ำกว่า 1400 จุด ดูไม่ดี สำหรับผลการ SCAN เห็นว่าหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น)ได้แก่ ANAN, IFEC, EA, KTB, TPIPL, CSS, ERW, FSMART, AOT ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วสามารถถือต่อหรือพิจารณา Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ HMPRO, NCH, ACAP, AP, APCS, WHA
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ จีน : เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฎิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) อนุมัติแผนก่อสร้าง 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 6.854 หมื่นล้านหยวนหรือราว 3.8 แสนล้านบาท ต่อจากก่อนหน้านี้ที่ได้อนุมัติก่อสร้างทางรถไฟ 4 เส้นระยะทาง 2 พันกม. เงินลงทุน 2.533 แสนล้านหยวน หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
+ ญี่ปุ่น : บริษัทแฟมิลี มาร์ท ประกาศควบกิจการกับบริษัทยูนิกรุ๊ป โฮลดิ้งในเดือนก.ย.59 เพื่อก่อตั้งบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อันดับ3 ของญี่ปุ่น (อันดับ 1 คือบริษัทอิออน และอันดับ 2 เป็นบริษัทเซเว่นแอนด์ ไอ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเซเว่น อีเลฟเว่น เจแปน ที่มีเครือข่ายร้านสะดวกซื้อใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น) ทั้งนี้บริษัททั้ง 2 มีร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตรวมกันกว่า 30,000 สาขาทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ (โดย 18,000 แห่งเป็นร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่น และจะเป็นอันดับสองรองจากเซเว่น อีเลฟเว่น) โดยหวังว่าหลังควบรวมแล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านล้านเยนภายในเวลา 5 ปี+ สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 255,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 40 ปี ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งยาวนานที่สุดในรอบกว่า 40 ปี บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก
•/+ สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) -0.2%MoM ในเดือนก.ย.58โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน และทรงตัว YoYส่วน Core CPI เป็น +0.2%MoM และ +1.9%YoY โดยดัชนี CPIออกมาตามคาด แต่ Core CPI เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อย่างไรก็ตามเงินเฟ้ออ่อนๆ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับภาวะเศรษฐกิจ
• สหรัฐ : ภาวะธุรกิจโดยรวมของเดือนต.ค.ยังไม่แข็งแกร่งนักเฟดฟิลาเดลเฟียเผยผลสำรวจภาวะธุรกิจเดือนต.ค.58 ว่าดัชนียังติดลบที่ -4.5 จาก -6.0 ในเดือนก.ย.58 โดยดัชนีคำสั่งซื้อใหม่และการขนส่งทรุดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พ.ค.56 ส่วนเฟดนิวยอร์คเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ว่าเดือนต.ค.58 ติดลบเป็นเดือนที่ 3 โดยอยู่ที่ -11.4 จาก -14.7 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการติดลบมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้
• สหรัฐ : รัฐมนตรีคลังเรียกร้องให้สภาคองเกรสมีมติผ่านการเพิ่มเพดานหนี้ก่อนเส้นตาย 3 พ.ย.58 ซึ่งหากไม่ผ่านรัฐบาลจะเสี่ยงขาดแคลนงบประมาณในการบริหารประเทศ เพราะจะเหลือเงินสดสำหรับใช้หนี้และใช้จ่ายเพียง 3 หมื่นดอลลาร์เท่านั้น ทั้งนี้ปัจจุบันเพดานการก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่ 18.1 ล้านล้านดอลลาร์...อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าสภาคองเกรสจะยอมขยายเพดานการก่อหนี้ให้กับรัฐบาลสหรัฐในที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการปิดหน่วยราชการชั่วคราวและความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรง หลังอ่อนตัวไป 2 วันทำการ นับว่ายังคงแข็งแกร่งมาก โดยดัชนี DJIA ปรับขึ้น 217 จุด (+1.28%) ปัจจัยหนุน คือ ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของซิตี้กรุ๊ปเพราะค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายลดลงมาก และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกรายสัปดาห์ของสหรัฐปรับตัวลดลงต่ำกว่า 3 แสนรายเป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้ว
• ราคาน้ำมันดิบทรงตัว...สต็อกของสหรัฐเพิ่มเกินคาดแต่ก็มียอดผลิตน้อยลง โดยสัญญา WTI และ BRENT ปิดอ่อนลงเล็กน้อย 26และ 44 เซนต์ ที่ 46.28 และ 48.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ โดยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์สิ้นสุด 9 ต.ค.58 เพิ่มขึ้นถึง 7.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 468.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ราคาน้ำมันดิบลดลงไม่มากเพราะ EIA รายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์เดียวกันลดลงเป็น 76,000 บาร์เรลเป็น9.096 ล้านบาร์เรล/วัน
+ ราคาทองคำพุ่งขึ้น โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.58 เพิ่ม7.7 ดอลลาร์ไปปิดที่ 1187.50 ดอลลาร์/ออนซ์
• สหรัฐ : จับตาตัวเลขเศรษฐกิจที่จะออกมาคืนนี้ คือ การผลิตภาคอุตสาหกรรม/อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ ไทย : รัฐบาลจะชะลอการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยจะติดตามผลของมาตรการที่ออกไปแล้วก่อน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงาน Post Forum 2015 ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ ถือว่าเพียงพอประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้ โดยต่อจากนี้ไปจะเริ่มชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้น้อยลง โดยจะเน้นการกระตุ้นเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ซึ่งต่อจากนี้จะหันไปทางปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นหลักมากกว่า
• ไทย : รัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ สาระสำคัญ คือ 1) ให้รัฐวิสาหกิจทำภารกิจที่ควรทำและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ, 2)ทำภารกิจให้มีประสิทธิภาพและยั่งยื่น, 3) ทำภารกิจอย่างโปร่งใส และ4) ใช้ทรัพยากรชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยปัจจุบันรัฐวิสาหกิจไทยมีสินทรัพย์มากถึง 12 ล้านล้านบาท และมีงบลงทุนสูงถึง 5.1 ล้านล้านบาท
• ไทย : คมนาคมเผยโครงการถไฟเส้นทางเชื่อมไทย-เมียนมาร์(ทวาย) ที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่นจะเข้าพิจารณาในครม.กลางปี 59 โดยเส้นทางนี้จะเชื่อมระหว่างแหลมฉบัง-สระแก้ว-กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี(ตะวันออกสู่ตะวันตก) ส่วนรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างเมืองจะให้เอกชนมาดำเนินการในเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยองน่าจะดำเนินการได้ในต้นปี 59
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค [email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
# AOT (ราคาปิด 300 บาท, ราคาพื้นฐาน 366 บาท-DCF) : ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเราชอบบริษัท เนื่องจากธุรกิจมั่นคงโดยเป็นผู้ประกอบการสนามบินรายเดียวของไทย และมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตในปี 58/59 จะมาจากการเปิดให้บริการอาคาร2 ของสนามบินดอนเมืองในเดือนพ.ย.58 และส่วนของสนามบินภูเก็ตในปี 59 ซึ่งจะทำให้กำลังการรองรับผู้โดยสารของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 83.5 เป็น 95 ล้านคน/ปี และเป็น 101 ล้านคน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 14% และ 21% จากปัจจุบัน ตามลำดับ
• สำหรับปี 59-60 คาดว่าการเติบโตจะมาจากการขยายการให้บริการสนามบินดอนเมืองและภูเก็ต ส่วนในระยะยาว การขยายตัวมาจากการเปิดให้บริการสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งมีทั้งหมด 5สัญญา มูลค่าเงินลงทุนรวม 6.3 หมื่นล้านบาทจะประกาศ TOR ในปลายปี 58 และเริ่มก่อสร้างสัญญาแรกมี.ค.59 และเริ่มก่อสร้างสัญญาสุดท้ายมิ.ย.59 ระยะเวลาก่อสร้างราว 36 เดือน (คาดแล้วเสร็จประมาณ 2Q62) ส่วนนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก35 ล้านคน/ปี (จาก 45 ล้านคน/ปีเป็น 80 ล้านคน/ปี)
• แนวโน้มระยะยาวยังสดใส การเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 58-59 (ธปท.คาดการณ์จำนวนนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 58 เติบโต 18.5% เป็น 29.4 ล้านคน (จาก24.8 ล้านคนในปี 57) และขยายตัวอีก 3.1% เป็น 30.3 ล้านคนในปี59 นอกจากนั้นการเปิด AEC ก็ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้สนามบินในระยะยาวด้วย
• ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำซื้อลงทุน โดยให้ราคาพื้นฐาน 366 บาท(DCF, WACC 12% และ Terminal Growth 3%) ทั้งนี้แม้ว่าValuation ในเทอม P/E ของบริษัทจะดูสูง (ปี 58-59 อยู่ที่ 25 และ 21เท่า ตามลำดับ) แต่บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิจึงทำให้ EV/EBITDA อยู่ในระดับที่ยังน่าสนใจลงทุน (ปี 58-59 อยู่ที่15 และ 13 เท่า ตามลำดับ)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
AAV (ราคาปิด 4.62 บาท, ราคาพื้นฐาน 6.00 บาท) : ในเชิงกลยุทธ์เรายังคงให้ AAV เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มสายการบินอาเซียนโดยเเห็นว่า AAV เป็นหลักทรัพย์หนึ่งที่ได้ประโยชน์จากการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติมายังไทยที่มีการเติบโตแข็งแกร่งมากคาดการณ์อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) จะอยู่ในช่วง 8-10% ระหว่างปี58-60 ถือว่าสูงสุดตั้งแต่ AAV เข้ามา IPO
• AAV ถือหุ้น 55% ในในไทยแอร์เอเซีย (TAA) ดังนั้นจึงได้ประโยชน์จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากขึ้นและ TAA เน้นเดินทางภายในอาเซียนและจีน สำหรับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ส่งผลกระทบจำกัดมาก และขณะนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้กลับสู่ภาวะปกติ และกำลังเข้าสู่ช่วง HighSeason ของการท่องเที่ยวใน 4Q และ 1Q
• Load Factor หรืออัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารในช่วง 4Q58 คาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 83% จาก 79% ใน 4Q57 และ 82% ใน 3Q58 ซึ่งทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าปริมาณผู้โดยสารในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14.5 ล้านคน (+19%YoY) และมีอัตรา Load Factor เฉลี่ยทั้งปีที่ 83% (ปี 57 อยู่ที่ 80%)
• บริษัทมีนโยบายทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน Jet ไว้ 50%ของปริมาณใช้ โดยมี Hedging Cost เฉลี่ยในปี 58 เท่ากับ 88ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ Effective Cost ของปีนี้อยู่ที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรลต่ำลงราว 32% จากต้นทุนน้ำมันที่เกิดขึ้นจริงในปี 57 อยู่ที่116.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งสัดส่วนต้นทุนน้ำมันคิดเป็น 38% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้นเมื่อนับเฉพาะส่วนนี้ก็ทำให้ต้นทุนรวมต่อยูนิตลดลง 12% นอกจากนั้นยังมีต้นทุนต่อยูนิตส่วนอื่นที่ลดลงจากการที่มีLoad Factor เพิ่มขึ้นเป็น 81% ในช่วง 1H58 (จาก 79% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทำให้ต้นทุนดำเนินงานในช่วง 1H58 เพิ่มขึ้นเพียง7%YoY ขณะที่รายได้สูงขึ้น 23%YoY และคาดว่าใน 4Q58 จะแข็งแกร่งมากขึ้นจาก Load Factor ที่เพิ่มเป็น 83%
• ปี 59 บริษัทตั้งเป้าหมาย Load Factor ไว้ที่ 83-84% โดยเปิดจุดบินใหม่ในจีนและอินเดียอีก 6 แห่ง ในปี 58-61 มีแผนซื้อเครื่องบินใหม่ปีละ 5 ลำ โดย ณ สิ้นมิ.ย.นี้มีจำนวนเครื่องบิน 43 ลำ จะเพิ่มเป็น 45ลำในสิ้นปี 58 และเป็น 50, 55, 60 ลำในสิ้นปี 59-60-61 ตามลำดับนโยบายที่เปลี่ยนไปคือ ในปี 59 จะซื้อเครื่องบินแบบ Financial Leaseมากขึ้น เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำให้จะมีการตัดค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น โดยเราประมาณการค่าเสื่อมราคาส่วนเพิ่มในปี59 ไว้ที่ 200 ล้านบาทรวมเป็นค่าเสื่อมราคาทั้งหมด 1.43 พันล้านบาทซึ่งค่าเสื่อมราคาที่เข้ามาเพิ่มคิดเป็น 0.6% ของยอดขาย (กล่าวคือ มีผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น 0.6%)
• คาดการณ์กำไรสุทธิปี 58-59 เติบโต 747% และ 25% เป็น 1.1พันล้านบาท และ 1.7 พันล้านบาท ตามลำดับ (ปี 57 มีกำไรสุทธิ 183ล้านบาท) แนะนำซื้อ โดย DBS ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 6.00 บาท(อิงกับ P/BV ปี 59 ที่ 1.3 เท่า (+1 SD)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค [email protected]