- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 14 October 2015 21:23
- Hits: 1466
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยังแกว่ง...แต่ไม่หลุด 1390 ยังถือ/เลือกซื้อได้'
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: AOT (ดูรายละเอียดในหน้า 3)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJCHI 28%, EGCO 18%, PTTEP 15%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กน้อย การซื้อขายเน้นตามด้วยค่าบวก
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1420,1430-40 ต่ำกว่า 1390
SET50 ซื้อบวก 925-930,940 ต่ำกว่า 910
Technical Picks- Today : KBANK, ITD, FORTH, TURE, PLANB, KAMART, CBG, CPALL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นในกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์ นำโดยกลุ่มสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติก็พลิกเป็นขายสุทธิเล็กน้อย 140 กว่าล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ ปิดตลาด SET Index อยู่ที่ 1406.69 จุด (-5.80 จุด)
วันนี้ตลาดไม่ได้มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น โดยมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมา ประเมินว่าเป็นบวกในระยะสั้น คือ ก่อให้เกิดการเร่งซื้อและโอนมากในช่วง 6 เดือนเพราะจะได้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนค่าธรรมเนียม+จดจำนอง รวมทั้งสามารถนำค่าซื้อ 20% ของบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทไปทยอยคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการลดหย่อนภาษีได้ 5 ปี ปีละเท่าๆ กันด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการจะมี Impact กับคนที่จำเป็นต้องซื้อที่พักอาศัยในช่วงสั้นเป็นหลัก แต่อาจไม่ช่วยกระตุ้นให้คนที่ไม่คิดจะซื้อเข้ามาซื้อในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาแบบนี้ นอกจากนั้นยังกังวลว่าเมื่อจบโครงการในสิ้นปี 59 แล้ว ยอดขายที่พักอาศัยในปี 60 จะแผ่วลงเพราะผู้บริโภคได้เร่งซื้อไปแล้ว บริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากเพราะมีสินค้าพร้อมขายในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเป็นสัดส่วนที่สูง คือ LPN, PS, SIRI, SPALI ปัจจัยที่ติดตาม คือ รายงาน Beige Book ของสหรัฐ, รายงานผลประกอบการ 3Q58 ของกลุ่มแบงค์ และความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีในช่วง 6 เดือนข้างหน้า คือ ท่องเที่ยว เพราะเป็น High Season ของธุรกิจ หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AOT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กน้อย การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1420, 1430-1440 จุด ค่าลบ/ต่ำกว่า 1390 จุด ดูไม่ดี สำหรับผลการ SCAN เห็นว่าหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) ได้แก่ CK, FORTH, KAMART, KKC ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วสามารถถือต่อหรือพิจารณา Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ AUCT, CBG
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- จีน : มูลค่าส่งออกของจีนเดือนก.ย.58 ลดลง 1.1%YoY สู่ระดับ 1.3 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ร่วงลง 6.1%YoY ในเดือนส.ค. ขณะที่การนำเข้าเดือนก.ย.ร่วงลง 17.7%YoY สู่ระดับ 9.24 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงกว่าเดือนส.ค.ที่ลดลง 14.3%YoY การร่วงลงอย่างหนักของยอดการนำเข้าส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 96.1% สู่ระดับ 3.762 แสนล้านหยวน (5.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จาก 3.68 แสนล้านหยวนในเดือนส.ค. แต่นำเข้าที่ลดลงก็ทำให้กังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
/- สหรัฐ : มีความไม่นอนนอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุดนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ส่งสัญญาณว่าขณะนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับกับประธานเฟดสาขาแอตแลนตา แต่ขัดแย้งกับนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดไม่ควรรีบเร่งในกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
/- ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลง 49.97 จุด (แต่ยังปิดเหนือ 17,000 จุดได้เล็กน้อย) หลังปรับขึ้นต่อเนื่อง 10 วันทำการ นักลงทุนบางส่วนจึงขายทำกำไร กับอีกส่วนหนึ่งกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลก หลังจากจีนประกาศตัวเลขการค้าที่ซบเซากว่าคาด และมีความสับสนกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งในช่วงนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดบางคนออกมาหนุนให้เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 58 ไปเลย
/- ราคาน้ำมันดิบอ่อนลงเล็กน้อย สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบพ.ย.ลดลง 44 เซนต์ ปิดที่ 46.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BREN ลดลง 62 เซนต์ ปิดที่ 49.24 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ IEA คาดการณ์ว่าภาวะอุปทานล้นเกินของน้ำมันจะยังมีอยู่ในปี 59 โดยเป็นผลจากการกลับมาส่งออกน้ำมันของอิหร่านและอุปสงค์ที่อ่อนแอ ขณะที่สหรัฐและประเทศในกลุ่มโอเปกก็มีการผลิตน้ำมันดิบในระดับที่สูง
ราคาทองคำทรงตัว โดยสัญญาตลาด COMEX ปิดเพิ่มเพียง 0.90 ดอลลาร์ ที่ 1165.40 ดอลลาร์/ออนซ์
+ กลุ่มสื่อสาร : การเปิดประมูล 4G คลื่น 900 MHz ขยับเร็วขึ้นเป็น 12 พ.ย.58 โดยทางกทค.มองว่าการเปิดประมูลเร็วจะเป็นประโยชน์กับทั้งรัฐบาลและผู้บริโภค ด้าน TOT เตรียมหาแนวทางรักษาคลื่น 900 MHz เอาไว้ โดยจะเสนอแนวทางให้บอร์ดพิจารณา 20 ต.ค.นี้
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เมื่อพิจารณาท่าทีของรัฐบาลแล้ว คาดว่าการประมูล 4G คลื่น 1800 MHz จะเป็นไปตามแผน และมีแนวโน้มว่าจะเร่งเปิดประมูล 900 MHz ด้วย เนื่องจากเป็นผลดีต่อภาครัฐที่จะได้เงินจากการประมูลเพื่อไปใช้ลงทุนต่อในปี 59 เบื้องต้นกสทช.คาดว่าจะได้เงินจากการประมูลทั้งสองคลื่นราว 7.3 หมื่นล้านบาท และยังจะมีการลงทุนในโครงสร้างและระบบสื่อสารที่เกี่ยวกับ 4G อีก 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปี 59-60 ได้ สำหรับหุ้น Top Pick ของกลุ่มสื่อสารเป็น INTUCH ส่วนหุ้นวางระบบเราชอบ SAMTEL ส่วน ADVANC และ DTAC แนะนำเพียงถือ ส่วน TRUE เป็น Not Rated
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
กลุ่มที่พักอาศํย : คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมาแล้ววานนี้ (13 ต.ค.) ประเด็นสำคัญ คือ
1) ให้ธอส.ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยสามารถกู้ซื้อบ้านได้ ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี สำหรับผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 3 หมื่นบาท/เดือน
2) ให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอน 2% และจดจำนอง 1% เหลือเป็นอย่างละ 0.01% เป็นเวลา 6 เดือน (โดยปกติผู้ซื้อจะจ่ายค่าโอนครึ่งหนึ่งและผู้ซื้อครึ่งหนึ่ง)
3) ให้นำค่าซื้อ 20% ของมูลค่าที่พักอาศัยไปทยอยลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาได้ 5 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าที่พักอาศัยต้องราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยต้องเป็นบ้านหลังแรก & เป็นเจ้าของเอง ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องซื้อและโอนกรรมสิทธิภายใน 31 ธ.ค.59
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : มาตรการที่ออกมาก็ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถซื้อที่พักอาศัยในราคาที่สูงขึ้นได้ และกระตุ้นให้ผู้ที่จะซื้อที่พักอาศัยและผู้ที่ซื้อไปและกำลังจะโอนกรรมสิทธิตัดสินใจได้เร็วขึ้น แต่อาจไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อที่พักอาศัยใหม่ได้มากนัก เพราะระดับ
หนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงเป็นตัวจำกัดการซื้อ รวมทั้งผลประโยชน์ของมาตรการที่จะเกิดกับผู้ซื้อในระดับ 4-8% ของมูลค่าที่พักอาศัย (สมมติว่าได้รับสิทธิทั้งลดหย่อนค่าธรรมเนียม & จำนอง และลดหย่อนบนฐานภาษีอัตรา 10-30%) ก็ไม่ถึงกับจูงใจมากๆ เพราะคาดว่าผู้ซื้อที่อยู่ข่ายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงที่ 6-8% นั้นน้อยมาก เนื่องจากผู้ที่จ่ายภาษีในอัตรา 20-30% ก็มักจะซื้อที่พักอาศัยกันไปแล้วหรือไม่ก็มีเป้าหมายที่จะซื้อที่พักอาศัยที่มีราคาสูงกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งก็จะไม่ได้สิทธิในการนำค่าซื้อ 20% ไปลดหย่อนภาษี 5 ปี จะได้แต่แค่การลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนและจำนองประมาณ 2% เท่านั้น
นอกจากนั้นสิ่งเป็นความเสี่ยงของอุตสาหกรรม คือ หลังจากจบมาตรการนี้ในสิ้นปี 59 แล้ว อาจทำให้ยอดขายที่พักอาศัยในปี 60 ชะลอตัวลงไป เพราะผู้ที่ตั้งใจซื้อที่พักอาศัยได้ซื้อและโอนไปมากแล้วใน 4Q58 และในปี 59 (คล้ายๆกับหลังจบโครงการรถคันแรก)
สำหรับผู้ประกอบการที่พักอาศัย เห็นว่าจะได้รับผลดีจากการที่ผู้ซื้อเร่งโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้รายได้ในปี 58-59 มีโอกาสที่จะดีกว่าที่เราเคยประมาณการไว้ และความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องทางการเงินตึงตัวลดลง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานดีขึ้น แต่...ต้องไปลุ้นยอดขายโครงการใหม่ในปี 60 กันอีกทีว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้คาดว่าในปี 59 ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการเปิดขายโครงการที่ก่อสร้างได้เร็วและสามารถโอนกรรมสิทธิให้ผู้ซื้อได้ภายในสิ้นปี 59 กันมากขึ้น บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รอบนี้มาก คือ LPN (โครงการ 80-90% ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท), PS, SIRI และ SPALI ซึ่งบริษัทที่มีประวัติว่ามีความสามารถในการก่อสร้างเร็ว และฐานะการเงินแข็งแกร่ง (หนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า) คือ LPN, PS โดย LPN มีจุดแข็งเรื่องการบริหารงานหลังการขาย (นิติบุคคลอาคารชุด) ที่มีประสิทธิภาพช่วยหนุนด้วย
ครม.มีมติให้ใช้อัตราภาษีรายได้นิติบุคคลอัตรา 20% เป็นการถาวร และลดภาษีรายได้นิติบุคคลให้กิจการ Venture Capital เหลือ 0% เป็นเวลา 10 ปี (เดิม 20%) รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินปันผลจากกิจการ Venture Capital ด้วย
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
AOT (ราคาปิด 294 บาท, ราคาพื้นฐาน 366 บาท-DCF) : ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเราชอบบริษัท เนื่องจากธุรกิจมั่นคงโดยเป็นผู้ประกอบการสนามบินรายเดียวของไทย และมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตในปี 58/59 จะมาจากการเปิดให้บริการอาคาร 2 ของสนามบินดอนเมืองในเดือนพ.ย.58 และส่วนของสนามบินภูเก็ตในปี 59 ซึ่งจะทำให้กำลังการรองรับผู้โดยสารของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 83.5 เป็น 95 ล้านคน/ปี และเป็น 101 ล้านคน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 14% และ 21% จากปัจจุบัน ตามลำดับ
สำหรับปี 59-60 คาดว่าการเติบโตจะมาจากการเปิดให้บริการอาคาร 3 ของสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะช่วยให้กำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นราว 10 ล้านคน/ปี หรืออีก 10% ส่วนในระยะยาว การขยายตัวมาจากการเปิดให้บริการสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งมีทั้งหมด 5 สัญญา มูลค่าเงินลงทุนรวม 6.3 หมื่นล้านบาทจะประกาศ TOR ในปลายปี 58 และเริ่มก่อสร้างสัญญาแรกมี.ค.59 และเริ่มก่อสร้างสัญญาสุดท้ายมิ.ย.59 ระยะเวลาก่อสร้างราว 36 เดือน (คาดแล้วเสร็จประมาณ 2Q62) ส่วนนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 35 ล้านคน/ปี (จาก 45 ล้านคน/ปีเป็น 80 ล้านคน/ปี)
การเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 58-59 (ธปท.คาดการณ์จำนวนนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 58 เติบโต 18.5% เป็น 29.4 ล้านคน (จาก 24.8 ล้านคนในปี 57) และขยายตัวอีก 3.1% เป็น 30.3 ล้านคนในปี 59 นอกจากนั้นการเปิด AEC ก็ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้สนามบินในระยะยาวด้วย
ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำซื้อลงทุน โดยให้ราคาพื้นฐาน 366 บาท (DCF, WACC 12% และ Terminal Growth 3%) ทั้งนี้แม้ว่า Valuation ในเทอม P/E ของบริษัทจะดูสูง (ปี 58-59 อยู่ที่ 25 และ 21 เท่า ตามลำดับ) แต่บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิ จึงทำให้ EV/EBITDA อยู่ในระดับที่ยังน่าสนใจลงทุน (ปี 58-59 อยู่ที่ 15 และ 13 เท่า ตามลำดับ)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค