- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 October 2015 17:02
- Hits: 2137
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'สั้นๆมีสิทธิรีบาวด์…เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1370'
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: BDMS (ดูรายละเอียดด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BA 33%, M 14%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่อาจรีบาวด์สั้นก่อนลดลงต่อ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1400,1410-20 ต่ำกว่า 1370
SET50 ซื้อบวก 910-920,930 ต่ำกว่า 890
Technical Picks- Today : SAWAD, RCI, TRUE, TTCL, HMPRO, BRR, BDMS, CPALL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดแกว่งตัวจากแรงขายทำกำไรหลังปรับขึ้นมาหลายวัน ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ (ดัชนีปิด 1392.15 จุด ลดลง 1.51 จุด) นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.6 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 2.1 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และต่างชาติยังเดินหน้าซื้อสุทธิ 1.7-1.9 พันล้านบาทในแต่ละกลุ่ม
แม้เราประเมินว่านักลงทุนจะกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น (Equity) หลังจากคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ โดยเลื่อนการคาดการณ์ออกไปประมาณ 1 ไตรมาส รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 59 อาจไม่มากเพราะเศรษฐกิจโลกซบเซา แต่ก็ยังแนะนำให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะในช่วง 1Q59 จะกลับไปกังวลเรื่องเฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นช่วง 4Q58 จึงเป็นการซื้อ-ขายตามรอบไปก่อน ปัจจัยที่มีน้ำหนักในช่วงเดือนต.ค.จะเป็นรายงานกำไร 3Q58 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และบางบริษัทใน Real Sector รวมถึงการทำ Preview ผลประกอบการ 3Q58 ของบจ.ต่างๆ ซึ่งจะมีสอดแทรกแนวโน้มของ 4Q58 และ 1H59 เข้าไปด้วย กลุ่มที่เห็นแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นอย่างชัดเจนใน 4Q58-1Q59 คือ กลุ่มสายการบินและท่องเที่ยว (หุ้นเด่น AOT, CENTEL, MINT - แนะนำซื้อจังหวะอ่อนตัว) กลุ่มโรงพยาบาลก็น่าสนใจ เพราะ 3Q ฤดูฝนเป็น High Season ของธุรกิจและ 4Q เป็นช่วงที่มี Annual Check up สูง (หุ้นเด่น BDMS) โดยภาพรวมยังคงแนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BDMS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเมื่อวานนี้เป็นลบเล็กๆ แต่มีสิทธิรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อ แนวต้านระยะสั้น 1400, 1410-1420 จุด การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบ/ต่ำกว่า 1370 จุด ดูไม่ดี สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) หุ้นที่เข้ามาใหม่ได้แก่ TTCL, TRUE, BRR, HMPRO, BDMS, SAWAD, RCI ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและอยู่ใน List ต่อ คือ CPN, AUCT, SAMART, CPALL สำหรับหุ้นที่ปรับขึ้นมาแล้วและอยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น CK, TMB, ANAN หุ้นที่หลุด List คือ SIM
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขแรงงานสหรัฐรายสัปดาห์ออกมาดี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 263,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 273,000 ราย
สหรัฐ : รายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 ก.ย. ระบุกรรมการหลายคนของเฟดมีความเห็นว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาอาจกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความเสี่ยงช่วงขาลง นอกจากนี้เฟดยังต้องการดูแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ทั้งนี้เฟดเหลือการประชุม 2 ครั้งในปีนี้ คือ รอบวันที่ 27-28 ต.ค.58 และ 15-16 ธ.ค.58 ซึ่งขณะนี้ตลาดประเมินว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบดังกล่าว
อังกฤษ : BOE มีมติคงดอกเบี้ยต่ำและใช้ QE กระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีมติคงวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ (5.76 แสนล้านดอลลาร์)...เป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และตลาด
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อ โดยดัชนี DJIA ปรับขึ้นอีก 138.46 จุด หรือ +0.82% ซึ่งเป็นการบวกต่อเนื่อง 5 วันทำการ ปัจจัยหนุน คือ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ยังไม่ปรับขึ้นภายในปีนี้ และการปรับขึ้นของราคาน้ำมันจากเหตุการณ์ไม่สงบในซีเรีย
+ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐปรับขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรีย โดยสัญญา WTI และ BRENT ปรับขึ้น 1.62 และ 1.72 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.43 และ 53.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ รัสเซียเดินหน้าปฎิบัติการทางทหารในซีเรีย มุ่งเป้าทำลายฐานที่มั่นของกำลังรัฐอิสลาม (IS) ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับการลำเลียงขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง และเบเกอร์ ฮิวจส์ รายงานว่าปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลดลงอีก 4 แห่งในสัปดาห์ก่อน
- สัญญาทองคำ COMEX อ่อนลง ปิดตลาดสัญญาส่งมอบธ.ค.58 ลดลง 4.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 1140.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
คาดกินเจปีนี้ (13-21 ต.ค.) ไม่คึกคัก ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยวิเคราะห์ว่าเงินจะสะพัด 4.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9%YoY อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายประเมินว่าอาจจะแค่ 3 หมื่นกว่าล้านบาท เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาพืชผัก ผลไม้จะปรับขึ้นตามเทศกาล ส่วนราคาเนื้อสัตว์ก็จะอ่อนลง แต่คาดว่าไม่รุนแรงมาก เพราะราคาเนื้อสัตว์ในประเทศขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งคาดว่าจะดีขึ้นในปี 59 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวใน GFPT และ CPF แต่ระยะสั้นหุ้นยังไม่มี Catalyst จึงไม่น่าเหมาะกับการเก็งกำไรตามรอบ
/- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.58 ร่วงลงเป็น 72.1 ลดลงต่อเป็นเดือนที่ 9 และต่ำสุดในรอบ 16 เดือน (สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย) ทั้งนี้ปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมาจากเศรษฐกิจไทยที่ซบเซาต่อเนื่องยาวนาน ธปท.ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยอีกรอบเป็นเติบโต 2.7% ในปีนี้ (เดิม 3%) และเติบโต 3.7% ในปี 59 (เดิม 4.1%) นอกจากนั้นเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ & ปัญหาเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมส่งออกของไทยก็ทำให้มูลค่าส่งออกลดลงด้วย สำหรับปัจจัยที่เป็นบวกต่อความเชื่อมั่น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย 1.36 แสนล้านบาท และการปล่อยกู้ซอฟท์โลน 1 แสนล้านบาทให้กับกลุ่ม SME ที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลดีส่วนใหญ่จะเห็นในปี 59 เพราะต้องใช้เวลาในการส่งผ่านผลดีจากนโยบายลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Search : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและระดับหนี้สินภาคครัวเรือนมีผลต่อการตัดสินใจจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมถึงการตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยด้วย โดยในบางช่วงเวลามีน้ำหนักมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ในช่วงนั้นยอดที่พักอาศัยจดทะเบียนพุ่งขึ้นและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านจะสูงถึง 16-17% ก็ตาม ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นอย่างมากว่าจะเติบโตได้สูงต่อเนื่อง (แต่ปรากฎว่าฟองสบู่ก็แตกในอีก 1-2 ปีต่อมา)
ส่วนในปัจจุบัน กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยาวนาน ผนวกกับหนี้สินครัวเรือนสูงมาก จึงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จะช่วยในส่วนการโอนรับรู้รายได้จาก Backlog ให้มากและเร็วขึ้น แต่อาจไม่ทำให้ยอดขาย Presales เพิ่มขึ้นได้มากนัก สำหรับ Upside Risk จากมาตรการกระตุ้นที่เราประเมินไว้ คือ ระยะเวลาในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง 0.01% นานกว่า 6 เดือน, ครอบคลุมที่พักอาศัยทุกราคา และไม่จำกัดเฉพาะบ้านหลังแรก ส่วน Downside Risk คือ การไม่มีมาตรการ หรือระยะเวลาใช้มาตรการน้อยกว่า 6 เดือน เป็นต้น
ในเชิงกลยุทธ์ ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่พักอาศัยเป็น Neutral เนื่องจากขาดปัจจัยกระตุ้นเรื่องการเติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพราะกำลังซื้อที่ซบเซาและการเปิดขายโครงการใหม่น้อยลงทำให้การรับรู้รายได้ในปี 59-60 จะต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ถือว่ามี Lag Time ในการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจน้อยมาก (คือ ฟื้นตัวเร็วถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น) และเป็นความจำเป็นที่ต้องอุปโภคเนื่องจากเป็น 1 ในปัจจัย 4 รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาเป็นแยกอยู่เดี่ยวมากขึ้นนับตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน สภาพการจราจรที่ติดขัดและการมีบุตรในวัยเรียนทำให้ต้องมีคอนโดในเมืองเป็นบ้านหลังที่สอง อุปสงค์จึงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
แนะนำซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว โดยเน้นไปยังบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง (Net Gering ต่ำกว่า 1 เท่า) และ Valuation ปี 58-59 จูงใจ (P/E & EV/EBITDA ต่ำกว่า 10 เท่า) รวมทั้งจ่ายปันผลสูง (Dividend Yield ปี 58-59 สูงกว่า 5%) ซึ่งประกอบด้วย AP, LPN, PS, QH และ SPALI
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค [email protected]