WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
      น้ำมันฟื้นตัวต่อ บวกแรง หนุนต่างชาติ ทำให้ SET ทดสอบ 1,400 จุด อีกครั้งหลังปรับฐาน ยังชอบหุ้นน้ำมัน PTT(FV@B360) และ KSL([email protected]) แนะปรับพอร์ตเพิ่มหุ้น Global โดยลดหุ้น Domestic Top pick วันนี้คือ TASCO(FV@B37) นักวิเคราะห์ ASPS ปรับเพิ่มประมาณการขึ้นกว่า 15% ปีนี้และปีหน้า พร้อมแนะนำเก็งกำไร TIPCO(Adjusted BV@B28) ซึ่งจะรับรู้กำไรตามการถือหุ้น 23.97%

โลกยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลาย vs ไทยให้น้ำหนักต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
       ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) วานนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิมคือ คงดอกเบี้ยนโยบายที่เดิม 0.5% (ตั้งแต่ มี.ค. 2552) และยังคงมาตรการ QE ที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ (5.76 แสนล้านดอลลาร์) ต่อไป ขณะที่ฝั่งสหรัฐ มีการประกาศการรายงานผลประชุม FOMC (Fed minute) ในรอบ 16–17 ก.ย. สรุปว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว ในภาคแรงงานมีการจ้างงานที่ดีขึ้นล่าสุด สะท้อนจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกรายสัปดาห์ สิ้นสุด 3 ต.ค. ลดลง 14,000 ราย อยู่ที่ระดับ 263,000 ราย (ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน) เป็นต้น ขณะที่ยังกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าเป้าหมายมาก แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่มีส่วนน้อยคือ 4 คน จากทั้งหมด 15 คน สนับสนุนให้ Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามการประชุม FOMC 26-27 ต.ค. นี้และครั้งถัดไป 16-17 ธ.ค. ที่จะถึง

      แต่อย่างไรก็ตาม โดยรวมทำให้ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ เมื่อเทียบสกุลหลักของโลก
      ส่วนของไทย แม้การรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.ย.อยู่ที่ระดับ 72.1 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 72.3 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และต่ำสุดในรอบ 16 เดือน และเช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเดือนเดียวกันอยู่ที่ 61.2 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 61.5 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจะฟื้นตัวตั้งแต่งวด 4Q58 เป็นต้นไป เนื่องจากผลบวกของการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบตั้งแต่เดือน ต.ค. ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งสะท้อนได้จากผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านเศรษฐกิจระยะกลางคือ 6 เดือนข้างหน้า (ของเดือน ก.ย.) ซึ่งเป็นดัชนีชีนำเศรษฐกิจที่สำคัญได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 73.7 เทียบกับผลการสำรวจเดือน ส.ค. อยู่ที่ 73.1 หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สามารถนำเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตามแผนเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในงวด 4Q58 ซึ่ง ASPS ประเมินว่า GDP Growth จะอยู่ที่ 2.7% เทียบกับ 2.3% ในงวด 3Q58 ขณะที่ในงวด 1H58 เติบโตแล้ว 2.9% เชื่อว่าประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักด้วยบวกต่อตลาด

น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัว ปัญหาผลผลิตส่วนเกินผ่อนคลายลง
       ล่าสุดพบว่าราคาน้ำมันโลกยังคงแกว่งตัวทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง โดยหากพิจารณาราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้าอยู่ที่ระดับ 53.05 เหรียญฯต่อบาร์เรล และเช่นเดียวกับราคาน้ำมันดูไบยืนใกล้ระดับ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทั้งนี้น่าจะได้รับแรงหนุนดีขึ้น หลังจากที่ OPEC รายงานเมื่อวานนี้ว่า ปริมาณความต้องการน้ำมันของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปีนี้ ทำให้คาดการณ์ปริมาณความต้องการน้ำมันโลกในปีนี้ อยู่ที่ 94.5 ล้านบาร์เรล จากเดิมคาดการณ์ 93 ล้านบาร์เรล ซึ่งน่าจะช่วยลดแรงกดดันจากปัญหา Oversupply ลงในระยะสั้น ๆ ซึ่งข่าวนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อเนื่องจาก ปัญหาทางด้านแหล่งผลิตน้ำมันโลก ดังที่เคยนำเสนอมาแล้วก่อนหน้านี้ คือ ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คาดว่าจะลุกลาม จากที่รัสเซียเข้าโจมตีซีเรีย ส่งผลให้ปริมาณการผลิตมันดิบลดลง ผนวกกับกำลังการผลิตของสหรัฐที่ยังชะลอตัวจากตัวเลขปริมาณการผลิตน้ำมันที่ลดลง 6 แสนล้านบาร์เรลต่อวันนับตั้งแต่ไตรมาสแรก และคาดว่าจะลดลงทั้งปีราว 8.6 ล้านบาร์เรลต่อปี จากที่เคยคาดการไว้ที่ 9.3 ล้านบาร์เรลต่อปี ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัวต่อ และหนุนให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปัจจุบันฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 42 เหรียญฯต่อบาร์เรล เมื่อปลายเดือน ก.ย. ราว 18% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจากต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ราว 54.43 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งยังสอดคล้องกับสมมติฐานของ ASPS ในสถานการณ์นี้ถือว่าดีต่อ PTTEP(FV@B94) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลี่ยม ตามมาด้วย PTT(FV@B360)ซึ่งทำธุรกิจปิโตรเลี่ยมครบวงจร เป็นต้น

กระแสเงินทุนไหลเข้า น่าจะสร้างกระแสเชิงบวกกับหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
      วานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 267 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกตลาดยกเว้น ประเทศเดียว คือ ฟิลิปปินส์ มีการขายสุทธิราว 3 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศ ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 143 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) รองลงมาคือ อินโดนีเซียซื้อสุทธิราว 49 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) เช่นเดียวกับไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 31 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ส่วนไทยต่างชาติยังคงซื้อสุทธิราว 48 ล้านเหรียญ หรือ 1,715 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 1,634 ล้านบาท
เป็นที่สังเกตว่าตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.จนถึงปัจจุบัน ต่างชาติได้ซื้อสุทธิสะสมหุ้นในภูมิภาคราว 833 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 4 เดือน) และหากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า เกาหลีใต้มีการซื้อสุทธิสะสมสูงสุดในภูมิภาคราว 143 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยไต้หวัน, อินโดนีเซีย และไทย ด้วยยอดซื้อสุทธิสะสมราว 271 ล้านเหรียญฯ , 140 ล้านเหรียญฯ และ 115 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ ยกเว้นฟิลิปปินส์ที่ยังแสดงยอดขายสุทธิสะสมเล็กน้อยราว 5 ล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนให้ ค่าเงินเอเซียส่วนใหญ่กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อาจมีคำถามว่า “การที่กระแสเงินทุนไหลกลับมานั้นส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยจริงหรือไม่?” เพื่อตอบคำถามดังกล่าวนักวิเคราะห์ เชิงปริมาณได้ทำการศึกษาข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ในเดือนใดที่มีกระแสเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย SET จะหนุนให้ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยต่อเดือนราว 3.82% ด้วยโอกาสที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 83% (ดังภาพด้านบน) ด้วยเหตุนี้ทำให้เชื่อว่า การที่กระแสเงินทุนน่าจะไหลน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างกระแสเชิงบวกต่อ SET ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

สะสมหุ้น TIPCO ตามการเติบโตของ TASCO
      วานนี้นักวิเคราะห์กลุ่มวัสดุก่อสร้างของ ASPS ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2558 และ 2559 ของ TASCO ขึ้น 11% และ 29% ตามลำดับ เนื่องจากผลกำไรในช่วงที่เหลือมีแนวโน้มดีกว่าคาด จากประสิทธิภาพการทำกำไรที่ดีขึ้น ตามความสามารถในการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงที่ดีขึ้น ทำให้คาดว่าผลประกอบการช่วง 3Q58 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าคาดมาก ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก และจะต่อเนื่องถึงงวด 4Q58 ซึ่งทำให้ตลอดปี 2558 TASCO จะมีกำไรพุ่งสูงขึ้นถึงเกือบ 5,000 ล้านบาท และยังเติบโตในระดับสูงกว่า 4.5 พันล้านบาทในปี 2559 ประเมินมูลค่าใหม่ที่ 37 บาท (อิง Expected PER 13 เท่า) จากประเด็นบวกดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น TASCO วานนี้ปรับขึ้นแรงกว่า 5.4% และทำให้ราคาตลาดมี upside ค่อนข้างจำกัดราว 8.8%
       จึงแนะนำให้หันมาลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ TASCO คือ TIPCO ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TASCO ราว 24% ของทุนที่เรียกชำระแล้วที่ผ่านมาผลประกอบการของ TIPCO มักจะมีความเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับ TASCO พิจารณาจากงวด 1H58 ของ TIPCO มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 680 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการรับรู้กำไรจากการถือหุ้นใน TASCO ราว 586 ล้านบาท หรือคิดเป็น 86% ของกำไรสุทธิทั้งหมด ส่วนกำไรที่เหลือ 96 ล้านบาท หรือ 14% เป็นกำไรจากการทำธุรกิจผลิตและส่งออกสับปะรดกระป๋อง ดังนั้นหากอิงประมาณการกำไรสุทธิปี 2558 ของ TASCO ที่คาดว่าจะทำได้ราว 5,000 ล้านบาท คาดว่ากำไรสุทธิตลอดปี 2558 ของ TIPCO น่าจะอยู่ที่ 1364 ล้านบาท หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ประมาณ 2.83 บาท ณ ระดับราคาปัจจุบันที่ 19.80 บาท จะได้ระดับ PER ที่ 7 เท่าเท่านั้น ต่ำกว่าระดับ PER เฉลี่ยของกลุ่มอาหารที่ 17.7 เท่า
      นอกจากนี้ หากพิจารณามูลค่าตามบัญชี หรือ BV ของ TIPCO ณ สิ้นงวด 2Q58 แม้จะอยู่ที่ระดับ 5.39 บาทต่อหุ้นเท่านั้น แต่หากปรับปรุงด้วยมูลค่าเงินลงทุนของ TASCO ตามสัดส่วนการถือหุ้น จากราคาทุน 1,998 ล้านบาท เป็นราคาตลาด 12601 ล้านบาท จะทำให้ BV เพิ่มเป็น 28.13 บาทต่อหุ้น (Adjusted BV) ซึ่งถือว่ายังมี upside จากราคาตลาด 43% จึงแนะนำให้ลงทุนในระยะสั้นใน TIPCO เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุน ที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่สูงเกินไปนัก

ปรับพอร์ต โดยเพิ่มหุ้น Global ผสม หุ้น Domestic
      ตลาดหุ้นไทยฟื้นกลับขึ้นมาได้ตลอดสัปดาห์นี้ แรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตามภูมิภาค รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรง ขณะที่ประเด็นในประเทศนั้น ในส่วนของการเมืองน่าจะลดความร้อนแรงลงหลังจากเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐยังคงต้องรอความชัดเจนในอีกหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในระยะนี้จึงแนะนำให้ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนจาก Domestic Plays (ที่ฝ่ายวิจัยได้เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้) แต่ยังให้คงหุ้นที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากโครงการภาครัฐ และมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ได้แก่ SCC, CK, TASCO และสลับไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Global Plays มากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาอยู๋ในช่วงขาขึ้น ทั้งในส่วนของหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวแรง ได้แก่ PTT และ PTTEP และในส่วนของราคาน้ำตาล คือ KSL

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!