- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 October 2015 16:45
- Hits: 917
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Buy on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX ยังคงขยับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไป 1,380 จุด ผลักดันด้วยกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หลังราคาน้ำมันดิบ NYMEX กลับมายืนเหนือ US$49/barrel รวมถึงค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าแตะระดับ 35.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวก 1.68% หรือ 22.97 จุด มาอยู่ที่ 1,393.66 จุด มูลค่าการซื้อขายมากถึง 49,807 ล้านบาท
เงินทุนต่างชาติยังคงน่าสนใจ Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 7 มากถึง 13,070 สัญญา ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,119 ล้านบาท และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้วันที่ 2 อีก 1,657 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ตลาดหุ้นจีนเปิดทำการเป็นวันแรก หลังจากปิดทำการเนื่องในวันชาติจีน
ตลท. และ บจ. 10 แห่ง โรดโชว์ที่สหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 7-8 ต.ค.
ติดตามการประชุม BoE / ECB วันนี้ ตลาดคาดคงนโยบายการเงิน หลังภาพรวมเศรษฐกิจในอียู ส่งสัญญาณอ่อนตัวลง
ติดตามรายงานการประชุมเฟดวันที่ 16-17 ก.ย. ต่อทิศทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
มุมมองต่อตลาด
เราขยับมุมมองการลงทุนขึ้นเป็น "กลางถึงบวก" วันแรกในรอบ 7 วันทำการ แม้ว่าวันนี้ SET INDEX มีโอกาสเปิดย่อตัว ก่อนฟื้นตัวในท้ายที่สุด แต่แนวโน้ม SET INDEX จะขยับขึ้นทดสอบด่านสำคัญ 1,400-1,410 จุดในเร็วๆ นี้ หลังเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่อย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการ Long สุทธิใน SET50 Index Futures ตลอด 7 วันทำการ 59,795 สัญญา พร้อมกับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าสู่ 35.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแข็งค่ามากกว่านั้น และ
สำหรับ มุมมองเชิงเทคนิค หาก SET INDEX กลับมายืนเหนือ 1,400 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นระดับ 4.5-5.0 หมื่นล้านบาท/วัน คาดว่า SET INDEX จะกลับมาเป็นทิศทาง sideways-to-sideways-up ลบล้าง downward trend ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลุ่ม trader กลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
เมื่อปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ เป็น "กลาง" ในรอบนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นบรรยากาศการเก็งกำไรต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะนานถึงสิ้นปีนี้ หลังจากที่สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ ปรับฐานลงตลอด 3Q58 ด้วยเหตุผลของโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ น้อยลงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแนวโน้มที่รัสเซีย และ สหรัฐฯ จะสามารถเปิดโต๊ะเจรจากับกรณีของซีเรีย ด้านซาอุฯ และรัสเซีย เตรียมเปิดการเจรจากเพื่อหาแนวทางการสนับสนุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ย่อมทำให้ความวุ่นวายทางการเมืองระหว่างประเทศ ในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดูจะคลายตัว ความผันผวนที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นใน 3Q58 น่าจะไม่เกิดขึ้น หรือ หากเกิดขึ้น ก็จะเบาลงกว่าที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญวันนี้ เราให้น้ำหนักกับประเด็นต่างประเทศ ต่อการประชุม BoE / ECB รวมถึงรายงานการประชุมเฟดวันที่ 16-17 ก.ย. เพื่อประเมินมุมมองต่อเศรษฐกิจ และโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้จะมีมากน้อยเพียงใด
ตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา กลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี ปิดบวกไปแล้ว 6.81% และ 10.98% ตามลำดับ เทียบกับ SET INDEX +3.51% เราคาด 2 กลุ่มนี้จะเริ่มแกว่งในกรอบแคบ เพื่อพักฐาน แต่กลุ่ม Domestic Play จะกลับมาเด่นอีกครั้ง นำโดยกลุ่ม ICT น่าจะเป็นกลุ่มผลักดันให้ SET INDEX ขึ้นทดสอบ 1,400 จุดในรอบสั้นนี้ รวมถึงหุ้นขนาดกลางที่มีความเด่นเฉพาะตัวเป็นทางเลือกของการเก็งกำไรในกลุ่มนักลงทุนทั่วไป
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนกลับเข้าสะสมหุ้นเป้าหมาย หากราคาหุ้นเกิดการย่อตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย" เพราะรอบนี้ เรามองเป้าหมายระยะสั้นไว้ที่ 1,410-1,420 จุด เป็นด่านการทำกำไรรอบแรก
Top Pick in 4Q15: BMCL / ITD/ TMB/ TPIPL
HOLD: ITD / TPIPL/ ADVANC/ WHA/ IFEC/ INTUCH/ KTB
Speculative Buy: ADVANC/ ITD
Switch: BJCHI// to ITD
Profit-Taking: BCP
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ได้แก่
1. ITD : ราคาปิด 8.30 บาท ราคาเหมาะสม 12.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะปรับตัวขึ้นได้ดี จากความคาดหวังเชิงบวกว่าการประชุมครม.ในสัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณาอนุมัติแผนลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า 3 เส้นทาง มูลค่ารวมราว 2 แสนล้านบาท
b) ความคืบหน้าของโครงการเหมืองแร่โปรแตซจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนข้างหน้า โดยปัจจุบันเสร็จสิ้นการพิจารณาระดับจังหวัดแล้ว และขั้นตอนต่อไปคือส่งเรื่องให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาเพื่อจัดทำประชาพิจารณ์ทั้งจังหวัดครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน ต.ค. - ต้น พ.ย.
c) คาดผลประกอบการ 3Q58 พลิกกลับเป็นกำไร qoq จากผลประกอบการของบริษัทลูกในอินเดียที่ดีขึ้น ขณะที่รายได้จากงานในประเทศยังทรงตัวในระดับสูง
d) คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากแผนลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ นอกจากนั้น ยังเป็นหุ้นกลุ่ม High Beta จึงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดที่ฟื้นตัวจากการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่
2. ADVANC : ราคาปิด 226.00 บาท ราคาเหมาะสม 286.00 บาท
a) ราคาหุ้นปรับตัวลง -6%ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และลดลง -1% ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทาง SET INDEX ที่ฟื้นตัว +3.3% เชื่อว่าได้สะท้อนปัจจัยลบกรณีข้อพิพาทเรื่องเสาโทรคมนาคมกับ TOT ไปมากแล้ว
b) จึงคาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ หากมีความคืบหน้าในการเจรจาการจัดตั้ง JV กับ TOT ได้สำเร็จ
c) และมีปัจจัยบวกรออยู่ในเดือน พ.ย. คือการประมูลใบอนุญาต 4G คลื่น 1800 MHz ซึ่งคาดว่า ADVANC จะเป็นผู้ชนะ 1 ใบอนุญาต
d) Valuation เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ เนื่องจากซื้อขายระดับ PER 2559 ที่ 14.5 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีปีละ 6%
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$263 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$277 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติ Long สุทธิอย่างหนาแน่นต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 1,119 ล้านบาท รวม 2 วันทำการ ซื้อสุทธิ 2,329 ล้านบาท สอดคล้องกับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้างตลาดเอเชียเกิดใหม่ แต่ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงสูงกว่า 1.0 แสนล้านบาท เป็น 105,110 ล้านบาท
ส่วน SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติคงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 7 มากถึง 13,070 สัญญา รวม 7 วันทำการ Long สุทธิ 59,795 สัญญา เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้า Short สุทธิ 10,418 สัญญา คาดว่าจะเป็นการปิดสถานะ Short ทั้งหมด และถือสถานะ Long ขยับขึ้นเป็น 49,377 สัญญา และ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิ 46,324 สัญญา กดดันให้ S50Z15 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเหลือ 2.15 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 10.08 จุด ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเหลือเพียง 14,400 สัญญา เท่านั้น
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 1,657 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 2,097 ล้านบาท โดยราคาพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 6 อีก 5.34bps จากวันก่อนหน้าลดลง 3.06bps ปิดที่ 2.653%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเหลือ 622 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 954 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 ทั้งนี้ยังคงเน้นเป็นรายตัวในการขาย
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 199 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 144 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 577 ล้านบาท เป็นที่น่สังเกตว่า NVDR ยังคงเลือกเน้นขายหุ้นธนาคารรายตัวชัดเจน สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้
1. กลุ่มพลังงานถูกซื้อสุทธิสุงสุดอีกครั้ง 373 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 79 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 165 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 150 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 87 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารกลับมาถูกขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 284 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ขายสุทธิ 185 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 103 ล้านบาท และกลุ่มขนส่ง ซื้อสุทธิ 109 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
ผลผลิตภาคอุตฯ ของอังกฤษขยายตัวดี: ผลผลิตภาคอุตฯ เดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.0% mom ดีกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 0.3% mom ส่วนภาคการผลิตขยายตัว 0.5% mom โดยการผลิตในน้ำมันและก๊าซเพิ่มขึ้น 8.7% mom เป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2557
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
BoJ คงนโยบายการเงินตามคาด: คงเป้าหมายการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบ Yen80 ล้านล้าน/ปี ตามที่ Bloomberg consensus คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ตลาดกลับคาดการณ์ว่า BoJ อาจเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 30 ต.ค.
กองทุนใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ประเมินตลาดหุ้นอินโดนีเซียผ่านจุดต่ำสุดแล้ว: ประธานกองทุนบำเหน็จบำนาญ BPJS Ketenagakerjaan ให้ความเห็นต่อตลาดหุ้นอินโดนีเซียว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าเม็ดเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียอีกครั้งเร็วๆ นี้ ด้วยความคาดหวังเชิงบวกต่อแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างทางรถไฟ, สนามบิน และท่าเรือ จะช่วยเพิ่มประเด็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้น
อัตราเงินเฟ้อไต้หวันเพิ่มขึ้นสวนทางคาด: เพิ่มขึ้น 0.28% yoy ในเดือน ก.ย. จากเดือนก่อนที่หดตัว 0.45% yoy ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดลดลง 0.50% yoy นำโดยราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น 5.85% yoy เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ +3.07% yoy นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อยังเป็นการเพิ่มขึ้น 0.68% mom ด้านดัชนีราคาผู้ผลิตยังหดตัว 8.57% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดหดตัว 8.80% yoy
ยอดส่งออกไต้หวันหดตัวต่อเนื่อง: หดตัว 14.6% yoy ในเดือน ก.ย. จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 14.8% yoy และแย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาด -11.2% yoy ยอดนำเข้าหดตัวเช่นกัน 24.4% yoy ทำให้ดุลการค้าเกินดุลอยู่ที่ระดับ US$5.25 พันล้าน
ยอดส่งออกมาเลเซียขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และดีกว่าตลาดคาด: เพิ่มขึ้น 4.1% yoy สำหรับเดือน ส.ค. เร่งตัวจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 3.4% yoy และดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดขยายตัว 1.3% yoy นำโดยการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ขณะที่ปิโตรเคมียังหดตัวต่อเนื่อง ด้านยอดนำเข้าหดตัว 6.1% yoy ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลมากสุดในรอบ 11 เดือนอยู่ที่ 1.019 หมื่นล้านริงกิต
คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นหดตัวแรงสุดในรอบ 4 เดือน: หดตัว 5.7% mom ในเดือน ส.ค.จากเดือนก่อนที่หดตัว 3.6% mom และเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และหดตัวแรงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. และแย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดว่าจะขยายตัว 2.3% mom ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการใช้จ่ายลงทุนในอนาคต
ไทย
ไม่มี
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530