- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 October 2015 16:42
- Hits: 2014
ล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'“Sentiment เป็นบวกต่อ'
•หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรง 16.82 จุดปิดที่ 1363.17 หลังกระแสคาดการณ์ในตลาดปรับว่าเฟดน่าจะขยายเวลาการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเป็นเดือนมี.ค.59 (จากเดิมต.ค.หรือธ.ค.58) หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ออกมาต่ำกว่าคาดไปมาก กลุ่มที่นำซื้อสุทธิในตลาดไทยคือ พอร์ตบล. ส่วนอีก 3 กลุ่มเป็นขายสุทธิ
สำหรับวันนี้ตลาดยังคงอยู่ใน Sentiment บวก เนื่องจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่เลื่อนออกไป หลังคาดว่าเฟดจะขยับการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นมี.ค.59 ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ยังควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกมาเป็นระยะ โดยปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ซบเซายาวนาน ซึ่งจะจำกัดการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนและทำให้ Valuation ของตลาดไม่ได้ถูกมากนัก หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BBL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกและมีโอกาสรีบาวด์ต่อ แต่ควรระวังการแกว่งลงตามมา แนวต้านระยะสั้น 1370-1380, 1390จุด การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น)หุ้นที่เข้ามาใหม่ได้แก่ AAV, SCCC, TOP, IRPC, CPALL ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและอยู่ใน List ต่อ คือ SIM, WORK เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ปรับขึ้นมาแล้ว & อยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น MCS, KTC หุ้นที่หลุด List คือ PS, BLA
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.ลดลง สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 56.9 ในเดือนก.ย. จากระดับ 59 ในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงแตะที่ 57.5 ด้านมาร์กิต อิโคโนมิกส์เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐที่ 55.1ในเดือนก.ย. ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 55.6 และลดลงจาก 56.1 ในเดือนส.ค.
•/- อังกฤษ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.ลดลงเป็น 55.3 จาก55.6 ในเดือนส.ค. ซึ่งค่าเฉลี่ยของ 3Q58 อยู่ที่ 55.4 ต่ำสุดนับจาก2Q56 นักวิเคราะห์ประเมินว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัวในลักษณะอ่อนลงในช่วง 2H58
• ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าช้าลงหลังตลาดประเมินว่าเฟดจะเลื่อนการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป ส่วนในช่วงสั้นมีแนวโน้มแกว่งในกรอบ (คาด ICE US Dollar Cash Index มีกรอบแกว่ง 94-98 ไปจนกว่าจะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรับกระแสคาดการณ์ใหม่อีกรอบ)
+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 304.06 จุด หรือ +1.85% ตอบรับกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังตลาดแรงงานยังไม่แข็งแรง ทั้งนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว200,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1%สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์
+ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลดลงอีก 26 แท่นในสัปดาห์ก่อน เหลือ 614 แท่น (หลังจากลดลง 31 แท่นใน 4 สัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 640 แท่นแล้ว) นับว่าเป็นการลดลงต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าราคาน้ำมันระดับนี้ทำให้ผู้ผลิตบางรายดำเนินการต่อไปไม่ไหว ต้องหยุดผลิตสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรวมกันล่าสุดอยู่ที่ 809แท่น ซึ่งลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 29 แท่น- แต่... บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของซาอุดิอาระเบียให้ส่วนลดลูกค้าในตลาดเอเชียเพิ่มอีก โดยบริษัทอารัมโค ประกาศเพิ่มส่วนลดราคาน้ำมันเกรด Medium ส่งมอบเดือนพ.ย.58 ให้กับตลาดเอเชียเป็น 3.2 ดอลลาร์/บาร์เรล จากส่วนลดของล็อตส่งมอบเดือนต.ค.58 ที่ 1.3 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแบบจำกัด โดย WTI และ BRENTเพิ่มขึ้น 72 เซนต์ และ 1.12 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.26 และ 49.25ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ คาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐลดลง แต่การประกาศขายตัดราคาน้ำมันเกรด Medium ของอารัมโค ก็จำกัดระยะทางของการปรับขึ้น
• สัญญาทองคำปิดทรงตัว โดยปรับขึ้นเพียง 1 ดอลลาร์ ปิดที่1137.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
- ไทย : ธนาคารโลกปรับลด GDP ปีนี้เติบโตเหลือ 2.5% ส่วนปี59 คาดขยายตัว 2% และปี 60 เติบโต 2.4% ซึ่งตัวเลขประมาณการของปี 59-60 ต่ำกว่าที่ทางการไทยและสถาบันวิจัยหลายแห่งอย่างมากทั้งนี้ธนาคารโลกมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 59-60 จะขยายตัวลดลงจากปี 58 เพราะ 1) เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนที่สูงมาก จึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนชะลอตัว, 2)ไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพิ่มเติมนัก ทำให้สินค้าไทยไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ซึ่งไทยควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งแนะให้พัฒนาประสิทธิภาพบุคคลากรควบคู่ไปกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ 3) มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ออกมา จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจในช่วงสั้นเท่านั้น ส่วนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่คาดว่าจะไม่เร็ว นับเป็นความท้าทายของรัฐบาลอย่างยิ่ง ในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กระเตื้องขึ้นในช่วงเศรษฐกิจโลกซบเซา และการเมืองไทยที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกรอบจากการเลือกตั้งในกลางปี 60
• กลุ่มที่พักอาศัย : จับตามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ว่าจะเข้าพิจารณาในครม.วันนี้ (6 ต.ค.) หรือไม่ หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าจะมีมาตรการกระตุ้นระยะสั้น 6 เดือนด้วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% และให้ธอส.ขยายระยะเวลาปล่อยกู้ออกไปให้นานขึ้น
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ตลาดประเมินว่ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ตามกระแสข่าวที่ออกมาเป็นบวกต่อกลุ่มที่พักอาศัย โดยคาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิเพื่อรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนค่าโอนและจดจำนองกัน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นในช่วง4Q58-1Q59 เท่านั้น ถ้าหากเศรษฐกิจยังซบเซาและความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอ่อนแอก็ทำให้กลุ่มที่พักอาศัยจะซบเซาต่อหลังจบมาตรการกระตุ้น ดังนั้นราคาหุ้นในกลุ่มที่พักอาศัยจึงไม่ได้ตอบรับในทางบวกต่อเรื่องนี้มากนัก อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่ามาตรการกระตุ้นที่จะออกมาจริงนั้นเป็นอย่างไร สำหรับหุ้นในกลุ่มที่พักอาศัยที่เราชอบในเชิงกลยุทธ์เป็น LPN, SPALI, QH แต่เน้นเป็นการทยอยซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวโดยทั้ง 3 บริษัทมีความมั่นคงทางธุรกิจ Valuation ไม่แพง และจ่ายปันผลสูง (คาด Yield ประมาณ 5-6% ต่อปี)
• เร่งให้มีการเปิดประมูลรถไฟไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น ดร.สมคิดหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย เร่งให้กระทรวงคมนาคมเปิดประมูลรถไฟไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น เพื่อเชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างตะวันออก-ตะวันตก โดยคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้เป็นบางช่วงบางตอนภายในปี 58 (ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 6 ต.ค.)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ในขณะนี้นักลงทุนรอดูว่าจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐเปิดประมูลเมื่อไร เพราะเรื่องนี้เป็น Catalyst สำคัญของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่น่าจะเลื่อนออกไปเป็นปี 59 ทำให้มีแนวโน้มว่าจะต้องถือหุ้นในสองกลุ่มดังกล่าวนานขึ้น ดังนั้นนักลงทุนบางกลุ่มจึงอาจเลือกที่จะเปลี่ยนไปเก็งกำไรรอบสั้นในหุ้นอื่นที่มีข่าวกระตุ้นก่อน
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]