- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 October 2015 15:47
- Hits: 1201
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index : ทดสอบแนวต้านสำคัญ 13751380 ผ่านได้แนวต้านถัดไป 1400
SET Index : 1367.38 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 1370 จุดก่อนที่จะถูกขายทำกำไรออกมาในระยะสั้น ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายทเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง จึงทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านที่ 1380 จุดขึ้นไปได้ จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 1400 จุด ในขณะที่โครงสร้างหลักของ SET Index เริ่มมีทิศทางในเชิงบวกเกิดขึ้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1350 จุด และมีเป้าหมายขึ้นไปที่ 1430 จุด
แนวต้าน : 1375 และ 1380
แนวรับ : 1365 และ 1360
JAS = 5.50 / 5.60, PTT = 252 / 255, ADVANC = 218 / 224, KBANK = 172 / 174, TIPCO = 18.50 / 19.00
Eureka Design (UREKA TB; THB 1.19) - ซื้อ
แนวต้าน : 1.30 และ 1.34
แนวรับ : 1.18 และ 1.16
ราคาหุ้นฟื้นตัวจากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่อง
MACD เคลื่อนไหวออกด้านข้างในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบระดับ 60
แนะนำซื้อ UREKA โดยมีแนวรับที่ 1.18 และ 1.16 และมีแนวต้านที่ 1.30 และ 1.34 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 1.14 ลงไป
Wice Logistics (WICE TB; THB 2.70) - ซื้อ
แนวต้าน : 2.90 และ 3.10
แนวรับ : 2.70 และ 2.68
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากแรงขายทำกำไร แต่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง ทำให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนลบ เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 40
แนะนำซื้อ WICE โดยมีแนวรับที่ 2.70 และ 2.68 และมีแนวต้านที่ 2.90 และ 3.10 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 2.58 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...แนวโน้มตลาดให้ดูทิศทางค่าเงินบาทเป็นหลัก
เมื่อวานนี้ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้ 16.82 จุดหรือ +1.25% ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 36,488 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้าหลังคาดการณ์เฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นปีนี้ หลังตัวเลขการจ้างงานออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างประเทศกลับมาขายสุทธิ 210 ล้านบาท ต่อหลังซื้อสุทธิมา 2 วันก่อนหน้า ส่งผลให้การปรับขึ้นของตลาดยังคงจำกัดและคาดว่าจะมีความผันผวนได้ทุกเมื่อ (เนื่องจากพอร์ทโบรกเกอร์ซึ่งปกติมีการซื้อขายระยะสั้นเป็นหลัก มีการซื้อสุทธิเมื่อวานนี้สูงถึง 2,497 ล้านบาท) โดยเราเน้นให้จับตาดูแนวโน้มค่าเงินบาทเป็นสำคัญ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุแนวต้านสำคัญที่ 36.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี 7 เดือน เราคาดว่าจะเห็นแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศออกมาอีกระลอก ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นไทยลงไปต่ำกว่าระดับ 1340 จุดได้
เมื่อวานนี้ทางธนาคารโลก ได้ออกรายงานโดยประเมินเศรษฐกิจไทย ปี 58 จะขยายตัวได้ราว 2.5% จากการใช้จ่ายภาครัฐ และรายรับจากการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างเข้มแข็ง หากเสถียรภาพทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ในปี 59 คาดการณ์ GDP ไทยขยายตัว 2% และในปี 60 ขยายตัวได้ 2.4% เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนยังคงซบเซา และเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ยังชะลอตัว ส่วนการดำเนินโครงการของภาครัฐ ในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ทิศทางเศรษฐกิจข้างหน้าสดใสมากขึ้น ขณะที่ประเมินการส่งออกของไทยปีนี้ ขยายตัวได้ 0.8% จากนั้นในปี 59 จะเติบโตราว 1.8% และ 1.3% ในปี 60 โดยเชื่อว่าการส่งออกจะยังคงอ่อนแอ มูลค่าการส่งออกในรูปสกุลดอลลาร์จะขยายตัวต่ำกว่า 1% เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักลดลง และอุปสงค์จากประเทศจีนและอาเซียนที่อ่อนแอลง
โดยธนาคารโลกประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้าสุดในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากมีความท้าทาย จากการที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดมากและมีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวส่งผลโดยตรงต่อความต้องการด้านการค้าขายของตลาดโลก ประกอบกับ เทคโนโลยีด้านการผลิตยังไมมีการพัฒนาเพิ่มเติม ทำให้สินค้าไทยไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาดโลก ดังนั้น มองว่าไทยควรให้ความสำคัญอย่างจริงจังและยั่งยืนกับประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลาการ แรงงานให้สูงขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
ธนาคารโลกมองว่า ไทยจะเติบโตได้ในอนาคตขึ้นอยู่ภายใต้ 3 ประเด็นหลัก ซึ่งถือเป็น New Normal ของไทย คือ 1.การบูรณาการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นแง่ดีให้กับการค้าและการส่งออกของไทย 2. การให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีการพัฒนาระบบการศึกษา เพื่อให้แรงงานมีความรู้เพิ่มขึ้น และ 3.การบูรณาการเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจไทยในอนาคต ยังเติบโตขึ้นได้ ส่วนที่มองว่า GDP ปีหน้าและปีถัดไปขยายตัวลดลงจากปีนี้ เพราะการดำเนินมาตรการของรัฐในช่วงนี้จะมีผลต่อ GDP ในช่วงสั้นเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการให้มีการเติบโตในระยะปานกลางขึ้นไป รัฐบาลต้องกลับมาดู 3 ประเด็นดังกล่าว
วันนี้จับตาดูมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่กระทรวงการคลังจะนำเสนอครม. โดยมาตรการจะประกอบไปด้วย มาตรการด้านสินเชื่อผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท (ธอส. ผ่อนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อโดยการกำหนดรายได้คำนวณผ่อนชำระต่องวดเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 50% และขยายระยะเวลาการผ่อนชำระออกไปอีก 5-10 ปี เป็น 35-40 ปี), การลดค่าธรรมเนียมการโอนลงจาก 2% เหลือ 0.01%, การลดค่าจดจำนองลงจาก 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน โดยหากครม. เห็นชอบมาตรการดังกล่าวก็จะมีผลบังคับใช้ทันทีและบังคับใช้ 6 เดือนสิ้นสุด 31 มี.ค. 59 โดยหากมาตรการเป็นไปตามคาดก็คาดว่าจะเป็นผลบวกกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายอยู่ในพอร์ทในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท จำนวนมากพอที่จะโอนได้ทันภายใน 6 เดือน ซึ่งประกอบไปด้วย PS LPN SPALI อย่างไรก็ตามเราไม่คาดว่าผลบวกต่อผลกำไรจะมากนักและราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาตอบรับข่าวดังกล่าว (1 เดือนปรับขึ้นกว่า 10%) พอสมควรแล้ว ดังนั้นเราคาดว่าหากราคาหุ้นในวันนี้ปรับขึ้นสะท้อนข่าวครม. อนุมัติมาตราการดังกล่าว เราแนะนำให้ ขายทำกำไรระยะสั้นออกไปก่อน
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ เราคาดว่าตลาดมีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวานหลังตลาดเริ่มคลายความกังวลว่าเฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า (ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าช่วงสั้น ทำให้แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศน่าจะชะลอตัวลงในช่วงนี้), ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และมีแรงซื้อกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดกำลังพัฒนา (Emerging market) ช่วงนี้ วันนี้เรายังแนะนำให้ซื้อเก็งกำไรในกลุ่มพลังงาน (TOP PTTGC) ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น, ธนาคาร (KBANK KTB) ที่ราคาปรับลดลงมาแรงนับจากต้นปี, โรงแรมและการท่องเที่ยว (AOT CENTEL CPN MINT) ที่งบไตรมาส 3/58 จะออกมาดีตามการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว วันนี้เราให้แนวรับที่ 1355-1360 และแนวต้านที่ 1370-1375จุด
Analysts :
Kitichan Sirisukarcha, CFPR, +662 657-9232 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary...
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,367.38 จุด เพิ่มขึ้น 4.21 จุด(+0.31%) มูลค่าการซื้อขาย 20,256.33 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้เปิดปรับตัวขึ้น แต่มีแรงขายทำกำไรบริเวณ 1370 จุด ตามทิศทางของตลาดต่างประเทศ เนื่องจากตลาดคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมายังไม่สดใส บ้านเรามีแรงขายทากำไรในช่วงเช้า หลังตลาดปรับตัวขึ้น
Afternoon Perspective...
แนวโน้มตลาดบ่าย ยืน 1367 จุดไม่ได้ อาจจะย่อตัวลงมาแถว 1359 จุดอีกรอบ ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์แรงมา 2 วันติดต่อกัน ซึ่งตามธรรมชาติน่าจะเกิดแรงขายทำกำไรออกมา โดยสัญญาณเก็งกำไรจะยังดูดีต่อเนื่อง ก็ต่อเมื่อ SET ต้องไม่ต่ำกว่าระดับ 1359 จุด ซึ่งในกรณีนี้ยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้ โดยจะยังสามารถมองเป้าที่ 1390 จุด ได้ต่อไป แต่หากต่ำกว่า 1359 จุด จะถือว่าจบรอบรีบาวน์ อาจจะต้องขายหุ้นใหญ่เล่นรอบออกไปก่อน ระยะสั้นกลับเน้นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก-กลาง โดยกลุ่มนี้เราชอบ COM7, ASEFA, EPG,SAMTEL,DCC,DRT,KAMART
Fundamental Picks & Technic (PM) ...
Eureka Design (UREKA TB; THB 1.17) - ซื้อ
Wice Logistics (WICE TB; THB 2.70) - ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]