- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 05 October 2015 17:14
- Hits: 919
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index : ทดสอบแนวต้าน
SET Index: 1359.86 ดัชนีช่วงเช้าปรับตัวขึ้น ตามทิศทางของตลาดต่างประเทศ ขณะที่ดัชนียังไม่ผ่านแนวต้านแรก 1360 จุด คาดว่า SET ยังแกว่งในกรอบ 1340-1370 จุด
แนวต้าน : 1360 และ 1370
แนวรับ : 1350 และ 1340
ADVANC = 217 / 225, PTT = 246 / 255, KBANK = 168 / 173, INTUCH = 71.25 / 72.75, TlPCO = 16.40 / 17.20
Forth Corporation (FORTH TB; THB 8.15) - ซื้อ
แนวต้าน : 8.50 และ 8.65
แนวรับ : 8.10 และ 8.05
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นทดสอบแนวต้านเดิม RSI ปรับทดสอบระดับ 40
แนะนำซื้อ FORTH โดยมีแนวรับที่ 8.10 และ 8.05 และมีแนวต้านที่ 8.50 และ 8.65 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 8.05 ลงไป
Thaire Life Assurance (THREL TB; THB 13.60) - ซื้อ
แนวต้าน : 14.00 และ 14.30
แนวรับ : 13.40 และ 13.20
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 13.50 บาท คาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านเดิม หากราคาปิดเหนือ 13.50 บาทได้ RSI ปรับทดสอบระดับ 70
แนะนำซื้อ THREL โดยมีแนวรับที่ 13.40 และ 13.20 และมีแนวต้านที่ 14.00 และ 14.30 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 13.20 ลงไป
Analysts :
Pornvilai Santusatharom +662 657-9230 - [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...รีบาวน์ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ
นับตั้งแต่เริ่มต้นเดือนตุลาคม ตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบางไม่ถึง 3 หมื่นล้านบาท (วันที่ 1 ต.ค. ตลาด -3.85 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 29,224 ล้านบาทและวันที่ 2 ต.ค. ตลาด +1.20 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายเพียง 23,570 ล้านบาท) โดยนักลงทุนต่างประเทศที่ขายมาต่อเนื่องทั้งปีเริ่มกลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย โดยวันที่ 1 ต.ค. ซื้อสุทธิไป 198 ล้านบาทและวันที่ 2 ต.ค. ซื้อสุทธิไป 115 ล้านบาท หลังจากที่ในเดือนกันยายนขายสุทธิไป 21,150 ล้านบาทและทั้งปีขายสุทธิไปกว่า 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนติดลบมา 3 เดือนติดต่อกัน 10.3% และหากนับจากต้นปีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน -10.1% ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ (ตลาดคาดอาจมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนต.ค. หรือธ.ค.) ซึ่งส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยกลับไปที่ตลาดสหรัฐ (ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า)
หากพิจารณาค่าเงินบาทนับจากปลายปีก่อนที่ระดับ 32.872 บาท/ดอลลาร์ ปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากว่า 10.7% มาอยู่ที่ 36.40 บาท/ดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อ นักลงทุนต่างประเทศอาจมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณาค่าเงินบาทในเดือนต.ค. เราจะเห็นว่าค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ระดับ 36.3-36.6 บาท/ดอลลาร์ โดยยังไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 36.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 6 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2009 ทำให้ในระยะสั้นนักลงทุนต่างประเทศจึงเริ่มมีการชะลอแรงขายหุ้นไทย นอกจากนั้นหลังจากที่ตลาดปรับฐานลงมาแรงนับจากต้นปีก็ทำให้แรงขายเริ่มชะลอตัวลงในช่วงสั้นเพื่อรอให้ตลาดมีการรีบาวน์และเริ่มมีแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศกลับเข้ามาก่อนที่นักลงทุนต่างประเทศอาจจะกลับมาขายสุทธิต่อหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีก
เมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1% อย่างไรก็ดี จากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาแย่กว่าคาดมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่คาดกันว่าจะเป็นปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า แม้ว่านางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีนี้ก็ตาม
จากผลดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงเทียบกับค่าเงินสกุลหลักทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนมีการขายสินทรัพย์ปลอดภัยมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นหนุนให้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงนี้ นอกจากนั้นดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความผันผวน ก็ได้มีการปรับลดลงอย่างมากจากระดับ 40.74 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปีนี้ ณ วันที่ 24 ส.ค. (ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงที่สุดในปีนี้ จากความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย) มาอยู่ที่ระดับ 20.94 จุด ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (หากปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 20 จุด ก็จะหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากความกังวลของนักลงทุนที่ปรับลดลง)
นอกจากนั้นแล้วราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อวันศุกร์ก็ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 0.80 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ 1.8% ปิดที่ 45.54 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังเบเกอร์ ฮิวจส์ บริษัทผู้ให้บริการข้อมูลด้านน้ำมัน รายงานในวันว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลงอีก 26 หลุม เหลือ 614 หลุม ณ สิ้นสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 แล้ว และหากรวมแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ตัวเลขแท่นขุดเจาะลดลงทั้งสิ้น 29 หลุม มาอยู่ที่ 809 หลุม ข้อมูลแท่นขุดเจาะเป็นปัจจัยหนุนตลาด เนื่องจากเทรดเดอร์เชื่อว่า บริษัทน้ำมันของสหรัฐยังคงเดินหน้าปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
จากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่า, ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น, ตลาดหุ้นต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวกันถ้วนหน้าและแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยแรงซื้อในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร (KBANK KTB) รับเหมาและวัสดุก่อสร้าง (SCC CK ITD STEC UNIQ) โรงแรมและการท่องเที่ยว (AOT CENTEL CPN MINT) และกลุ่มอสังหาฯ (PS LPN SPALI) ที่อาจมีการกลับมาเก็งกำไรนโยบายการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่กระทรวงการคลังจะนำเสนอเข้าครม. ในวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตามกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ตลาดยังคงมีความผันผวนตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน เราแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะในการขายทำกำไรหากตลาดมีการปรับตัวขึ้นและรอซื้อหากตลาดมีการปรับฐานลง โดยให้พิจารณาค่าเงินบาทเป็นสำคัญ หากค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าต่อเนื่องก็ยังสามารถถือหุ้นได้ แต่หากค่าเงินบาทเริ่มมีทิศทางอ่อนค่าโดยเฉพาะหากทะลุระดับ 36.50 บาท/ดอลลาร์ อาจจะต้องพิจารณาขายทำกำไรในระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ตลาดอาจถูกนักลงทุนต่างประเทศขายต่อเนื่องลงไปที่ระดับ 1300 จุดได้
Analysts :
Kitichan Sirisukarcha, CFPR, +662 657-9232 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary...
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,359.86 จุด เพิ่มขึ้น 13.51 จุด(+1.00%) มูลค่าการซื้อขาย 16,526.33 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้น ตามตลาดต่างประเทศหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯต่ำกว่าคาด คาดเฟดยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
Afternoon Perspective...
แนวโน้มตลาดบ่าย เกิดสัญญาณซื้อเก็งกำไร หลัง SET สามารถกลับมายืนเหนือ 1354 จุด ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้ครั้งแรกในรอบ 9 วันทำการ ประกอบกับค่าเงินบาทมีสัญญาณแข็งค่าขึ้น ทำให้คาดว่าจะเกิดแรงซื้อกลับเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติ โดยระยะสั้นจะมีแนวต้านถัดไปที่ 1367 จุด หากทะลุไปได้จะสามารถมองเป้ายาวๆที่ 1390 จุด ระยะสั้นสามารถเข้าเก็งกำไรตามกระแส Fund Flow โดยเราชอบหุ้นใหญ่อย่าง PTT,KBANK, AOT, SCC, BANPU, TOP, PTTGC, IRPC, CENTEL, CPN, CPALL, QH, PS
Fundamental Picks & Technic (PM) ...
Forth Corporation (FORTH TB; THB 8.15) - ซื้อ
Thaire Life Assurance (THREL TB; THB 13.60) - ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]