- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 02 October 2015 17:06
- Hits: 3048
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"รอดูตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐ"
Stock Picks-Oct 2015 : Fundamental : AOT, BBL, CK, CPNRF, LPN
Fundamental Pick -Today: CPALL
(ดูรายละเอียดในหน้า 3)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : M 27%, VGI 24%, PTTEP 23%, TCAP 18%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ และควรระวังการแกว่งลง
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1350-1360 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 880,900 ค่าลบ
Technical Picks- Today : ANAN, DCC, CPN, TOP, CENTEL, WORK, XO, BIGC
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 1345.15 จุด (ลดลง 3.85 จุด) โดยมีแรงขายกลุ่มธนาคารพาณิชย์, สื่อสาร, พลังงานและปิโตรเคมีบางตัว ในช่วงท้ายตลาด ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนลงสวนกับภูมิภาคที่เกือบทั้งหมดปรับขึ้น รวมทั้งสวนทางกับตลาดหุ้นยุโรป & ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่บวกขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะความวิตกกังวลกับคุณภาพสินทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ ความล่าช้าของโครงการลงทุนภาครัฐ ภาคส่งออกอ่อนแอ และอุปสงค์ & การลงทุนภาคเอกชนซบเซา อย่างไรก็ตาม ความกังวลในเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในตลาด จึงไม่ได้กดดันให้ดัชนีตลาดร่วงแรงแบบ Panic แต่จะออกแนวซึมหรือเคลื่อนไหวในกรอบมากกว่า ซึ่ง Gap กำไรที่แคบของตลาดก็ถือเป็นปัจจัยลบในการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่ Product ที่น่าจะตอบโจทย์นี้ได้ดี คือ Equity Link Note (ELN) เพราะยังได้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 8-11% ต่อปีแม้ว่าหุ้นจะไม่มี Capital Gain เลย แต่ผลิตภัณฑ์การเงินนี้ไม่เหมาะกับหุ้นที่ลงแรงแล้วมีโอกาสรีบาวด์ เพราะซื้อหุ้นดังกล่าวจะให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าและเร็วกว่า ปัจจัยสำคัญที่ติดตาม คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.58 ของสหรัฐ ซึ่งจะรายงานในคืนนี้ (เวลาไทย) ทั้งนี้ตลาดมองว่าการฟื้นตัวของภาคแรงงานมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น CPALL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ภาพตลาดเป็นลบ และมีโอกาสแกว่งลง สำหรับการรีบาวด์จะมีแนวต้านระยะสั้น 1350-1360, 1370 จุด การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี อาจหมายถึงการร่วงต่อแบบมีระยะทาง สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี สามารถเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น (แต่ไม่บวกไม่เล่น) ได้แก่ ANAN, CPN, TOP, CENTEL, DCC, WORK, BIGC, XO, VIBHA, MCS, SIM
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 277,000 ราย แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือนแล้ว
สหรัฐ : ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐอยู่ที่ 53.1 ในเดือนก.ย. จากระดับ 53.0 ในเดือนส.ค.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 22 เดือน สำหรับสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตอยู่ที่ 50.2 ในเดือนก.ย. ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.56 และลดลงจาก 51.1 ในเดือนส.ค. โดยภาคการผลิตสหรัฐได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์, อุปสงค์ที่อ่อนแอในตลาดโลก, ความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน รวมทั้งการลดการลงทุนในภาคธุรกิจ
+ อินโดนีเซีย: จะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 3 ในสัปดาห์หน้า โดยจะเน้นเรื่องการลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ ทั้งนี้ทางการอินโดนีเซียเพิ่งจะประกาศมาตรการกระตุ้นรอบที่ 2 ไปเมื่ออังคาร 29 ก.ย.58 ที่ผ่านมา
+ สหรัฐ : การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างดีดตัวขึ้น 0.7% สู่ระดับ 1.09 ล้านล้านดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีในเดือนส.ค. และปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดในกรอบแคบ โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 12.69 จุด (-0.08%) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐไม่มีอะไรตื่นเต้น และตลาดยังกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก นักลงทุนรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.58 ของสหรัฐ ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะต่อไป
/- ราคาน้ำมันดิบอ่อนลงเล็กน้อย...แนวโน้มทรงตัวต่ำ โดยสัญญา WTI และ BRENT ปิดอ่อนตัวลง 35 เซนต์ และ 68 เซนต์ ที่ 44.74 และ 47.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ คาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันที่สูง และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่จำกัด ทำให้ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวต่ำระดับ 50-60 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงปี 59-60 แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นไปเป็น 70 ดอลลาร์/บาร์เรลในระยะยาว
ราคาทองคำ COMEX อ่อนลงเล็กน้อย โดยสัญญาส่งมอบเดือนธ.ค.58 ปิดลดลง 1.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 1113.7 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนรอข่าวใหม่ โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.58 ของสหรัฐ ที่จะรายงานออกมาในคืนนี้ (เวลาไทย)
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
/+ ไทย : อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย.ติดลบ 1.07% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และดัชนีลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้า สำหรับช่วง 9M58 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.9% ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.ย.58 เพิ่มขึ้น 0.96% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่ม 0.07% จากเดือนส.ค.58
กระทรวงพาณิชย์ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 58 เป็น -1% ถึง -0.2% (จากเดิม 0.6-1.3%) และปรับ GDP Growth ปีนี้เป็น 2.5-3.5% โดยมีสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 48-58 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 33-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS Retail Research : อัตราเงินเฟ้อที่หดตัวโดยหลักมาจากการลดลงของราคาพลังงาน แต่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มยังเพิ่มขึ้น 1.31% บ่งชี้ว่ายังมีเงินเฟ้อทางฝั่งดีมานด์ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังค่อนข้างจำกัดมาก
มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ : กระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม.พิจารณาในวันที่ 5 ต.ค.58 โดยในเบื้องต้นมีประเด็นที่พิจารณา คือ 1) ให้ธอส.ดูแลผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยและถูกปฎิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์, 2) พิจาณาลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็น 0.01% แต่คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 3.3% ... ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการนี้หรือไม่
- อุตสาหกรรมหลักทรัพย์ : แข่งเดือด สงครามค่าคอมมิชชั่นรอบใหม่กำลังเกิดขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ SBITO (บล.ฟินันเซีย ไซรัสถือหุ้น 40% และบ.เอสบีไอ กรุ๊ป ญี่ปุ่นถือหุ้น 60%) จะเปิดฉากลดค่าคอมฯออนไลน์เหลือ 0.015% (ต่ำกว่าอุตสาหกรรม 90%) ในบัญชีแคชบาลานซ์ และ 0.2% สำหรับบัญชีเงินสด และให้ค่าคอมฯฟรีถ้าซื้อขายเกิน 20 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.58
บริษัทตั้งเป้าหมายเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูง คือ นายวราห์ สุจริตกุล กล่าวว่ากลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวนี้เป็นการสร้างทางเลือกให้กับนักลงทุน และมีเฉพาะลูกค้าออนไลน์จึงมีต้นทุนต่ำ ไม่มีเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน การเปิดบัญชีทำผ่านร้านสะดวกซื้อ ส่วนบทวิเคราะห์ก็ใช้ร่วมกับบล.ฟินันเซีย ไซรัส (สรุปจากกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 ต.ค.58)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS Retail Research : ธุรกิจหลักทรัพย์มีการแข่งขันสูงมาโดยตลอด โดยบางช่วงจะ Peak มาก บางช่วงจะเบาลง เราคาดว่าอุตสาหกรรมกำลังจะเข้าสู่โหมดแข่งขันรุนแรงมากอีกครั้งในช่วง 4Q58 หลังจาก SBITO เริ่มทำการตลาดอย่าง Aggressive ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ข้อมูลว่าการซื้อขายผ่านออนไลน์ในปัจจุบันอยู่ที่ 35% ของการซื้อขายทั้งหมดของตลาด และเฉพาะการซื้อขายของรายย่อยมีสัดส่วนสูงกว่า 60%
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค[email protected]
Update อุตสาหกรรม & หุ้นในเชิงกลยุทธ์
CPALL (ราคาปิด 49 บาท, ราคาพื้นฐาน 55 บาท) : ธุรกิจ Defensive โดยถูกกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาจำกัด เพราะจำหน่ายสินค้าจำเป็นอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และสินค้ามีราคาต่อหน่วยไม่สูง นอกจากนั้นยังมีการกระจายความเสี่ยงเรื่องทำเลที่ตั้งสาขาที่ดี เพราะมีสาขามากขึ้น 8,500 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย และมีแผนเปิดสาขาใหม่ 600-700 แห่งต่อปี การขยายสัดส่วนรายได้จากสินค้าอาหารพร้อมรับประทานช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานดีขึ้น
งวด 6M58 รายได้บริษัทเติบโต 10%YoY แต่กำไรสุทธิขยายตัว 32%YoY นับว่าแข็งแกร่งและเห็นได้ว่าบริษัทประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนและภาระดอกเบี้ยจ่ายทำให้กำไรเติบโตได้ดีกว่ารายได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ความสำเร็จของการทำธุรกิจไม่ได้มาจากการเพิ่มรายได้เท่านั้น การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากด้วยเช่นกัน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานดีมาก เพราะขายสินค้าและบริการเป็นเงินสด ขณะที่บริษัทได้เครดิตเทอมจากซับพลายเออร์ (ณ สิ้นมิ.ย.58 บริษัทมีลูกหนี้การค้าเพียง 704 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่เจ้าหนี้การค้าถึง 5.27 หมื่นล้านบาท คิดเป็นระยะเวลาหมุนเวียนของเจ้าหนี้ประมาณ 2 เดือน) ในงวด 6M58 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1.0 หมื่นล้านบาท
การลดสัดส่วนถือหุ้น MAKRO จะช่วยให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายน้อยลง (นำเงินจากการขายไปชำระหนี้) และอาจจะมีกำไรจากการขายหุ้น MAKRO ด้วย
ในด้าน Valuation หากพิจารณาจาก P/Operating CF ปี 58 พบว่าจะอยู่ที่ 22 เท่า ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของบริษัทที่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายและมาร์จิ้นในสาขาเดิม (อันเกิดจากการปรับ Product Mixed และต้นทุนคงที่ต่อหน่วยต่ำลง หรือที่เรียกว่ามี Economy of Scales) และการเปิดสาขาใหม่เพิ่มทุกๆปี
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อลงทุน โดยเรายังเห็น Growth Potential ของ CPALL ล่าสุดบริษัทได้จับมือกับบริษัททรีซิกตี้ไฟว์ (TSF) โดยให้เช่าพื้นที่บริเวณร้าน 7-11 เพื่อติดป้ายโฆษณาเป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ 1 ต.ค.58 โดยจะมีรายได้ค่าเช่าสำหรับเฟสที่ 1 และค่าสิทธิประโยชน์ตลอดอายุสัญญาเช่าเท่ากับ 308.73 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 2.4% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปี 58 ซึ่ง DBS คาดการณ์กำไรสุทธิปี 58 เติบโต 28% และขยายตัวต่อ 22% ในปี 59 ให้ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 55 บาท
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
/+ LH (ราคาปิด 8.10 บาท, ราคาพื้นฐาน 9.20 บาท) : เตรียมลุยธุรกิจศูนย์การค้า เล็งขยายเพิ่มอีก 3 แห่ง (โคราช, พัทยา, ภูเก็ต) มูลค่าโครงการ 6-7 พันล้านบาท/แห่ง (เปิดปีละ 1 แห่ง) และเล็งขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ในปี 59 (เป็นโรงแรมที่ทองหล่อ 3 พันล้านบาท และศูนย์การค้าที่พัทยา 6-7 พันล้านบาท) คุณอนันต์ อัศวโภคิน ผู้บริหารระดับสูงของ LH มองว่าธุรกิจที่พักอาศัยไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้แล้ว ยืนยันยังไม่มีปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ส่วนการหาพันธมิตรทางธุรกิจของ LHBANK ยังพิจารณาอยู่แต่ไม่รีบ โดยขณะนี้เจรจากับผู้สนใจแถบเอเชีย 3 ราย (สรุปจากกรุงเพพธุรกิจ วันที่ 2 ต.ค.58)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS Retail Research : เรามองว่ายังมีช่องว่างทางธุรกิจสำหรับธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทยอีกมาก การลงทุนในโครงการขั้นพื้นฐานภาครัฐ ความเจริญที่กระจายไปในต่างจังหวัด การเปิด AEC ล้วนเป็นปัจจัยที่หนุนต่อธุรกิจศูนย์การค้าทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้จะมีการแข่งขันสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต สำหรับความสำเร็จขึ้นกับทำเลที่ตั้ง การบริหารต้นทุนโครงการ แนวคิดที่เป็นจุดขายของโครงการที่จะดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้ามาเดินในศูนย์การค้า เป็นต้น ซึ่งเรามองว่า LH ก็ทำได้ดีในเรื่องนี้ เห็นได้จากโครงการ Terminal 21 อโศก ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ทาง LH เดินหน้าไปได้ค่อนข้างดี บริษัทไม่ได้เปิดโครงการใหม่อย่าง Aggressive ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ฝ่ายวิจัยฯ DBS คาดการณ์กำไรหลักต่อหุ้น (EPS-Pre Extra) ปี 58 ทรงตัวเทียบ YoY แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลง 21%YoY เพราะฐานปี 57 บันทึกกำไรพิเศษจำนวนมาก ส่วนปี 59 คาดกำไรจะเติบโต 18%YoY เพราะมีการโอนคอนโดมากขึ้น ประเมินมูลค่าหุ้นไว้ที่ 9.20 บาท (Sum-of-Parts) การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเพื่อลงทุน
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
-/ อุตสาหกรรมยานยนต์ (30 ก.ย.58) : ผู้ว่า กทม.เสนอซื้อรถใหม่ต้องแสดงที่จอดรถ ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ เขตปทุมวัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมเสวนาระดมสมอง เรื่องท้าทายไทย ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร ด้วยการควบคุมปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลที่สัญจรพื้นที่ชั้นใน อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า ในระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้า ปัญหาการจราจรจะยังคงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งคาดการณ์ว่าก่อนปี 2572 ปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคัน และการเดินทางของประชาชนจะมากถึง 22 ล้านเที่ยวคนต่อวัน แต่จากผลการคาดการณ์ปัญหาจราจร กลับพบว่าการลงทุนกว่าแสนล้านเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าจำนวนมากจะไม่ช่วยลดปัญหาการจราจรบนท้องถนนได้อย่างแท้จริงเนื่องจากประชาชนจะยังคงใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเช่นเดิมส่วนรถไฟฟ้าจะเป็นตัวช่วยในการแบ่งเบาผู้โดยสารจากระบบขนส่งมวลชนอื่นๆเท่านั้น
ความเห็น: จากข่าวนี้ หากมีการนำมาปฏิบัติจริง อาจส่งผลกระทบทางลบต่อยอดขายรถยนต์ และลามไปถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้ เมื่อรถยนต์ขายได้น้อยลง เพราะปัจจุบันความเพียงพอของที่จอดรถมีจำกัด แต่คาดว่าผลกระทบต่อหลักทรัพย์ในกลุ่มยานยนต์จะยังไม่รุนแรง จนกว่าจะมีมาตรการออกมาใช้จริง ซึ่งก็อาจจะยากในทางปฏิบัติที่จะนำออกมาใช้จริง อีกทั้งปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในประเทศก็ยังซบเซา หลังจากโครงการรถยนต์คันแรกได้จบสิ้นลง ทั้งๆที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อการลงทุนของไทย และนำมาซึ่งอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกด้วย
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835 [email protected]