- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 September 2015 17:34
- Hits: 893
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Slightly Rebound
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรง จากบรรยากาศรอบเอเชียและยุโรปที่ไม่เอื้อ อีกทั้งตัวเลขส่งออกเดือนส.ค.ของไทย หดตัวแรงกว่าคาด ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในอัตราเร่ง ขณะที่หุ้นหลักทั้ง SCC / PTT / AOT รวมถึงกลุ่มธนาคารเผชิญกับแรงขายค่อนข้างมาก ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบ 24.70 จุด มาอยู่ที่ 1,352.13 จุด มูลค่าการซื้อขายบางเพียง 28,592 ล้านบาท
เงินทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในอัตราเร่ง ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 อีก 2,088 ล้านบาท Short สุทธิ SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 4,782 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 มากถึง 3,948 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ตลาดหุ้นเกาหลีปิดทำการ 28-29 ก.ย. เนื่องด้วยวันขอบคุณพระเจ้า
ตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องจากอิทธิพลของพายุ
ติดตามการประชุม ครม. วันนี้ คาดพิจารณาแผนลงทุนรถไฟฟ้า 3 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท
มูลค่าการซื้อขายเบาบาง สร้างความผันผวนต่อ SET INDEX มากขึ้น
เฟดสาขา New York และ San Francisco ประเมินว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้
มุมมองต่อตลาด
เราปรับมุมมองการลงทุนเป็น "กลาง" วันแรกในรอบ 21 วันทำการ จากเดิม "กลางถึงบวก" หลัง SET INDEX ปรับฐานลงแรงวานนี้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง และคาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะเห็นสัญญาณเชิงบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศ นอกจากนี้ภาพทางเทคนิคมีแนวโน้มจะลงไปปิด Gap บริเวณ 1,330-1,335 จุด และแกว่งออกด้านข้างบริเวณดังกล่าว เพื่อรอดูผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารในช่วงกลางเดือนต.ค.
อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว (Development Market: DM) มีความเปราะบางเช่นกัน สะท้อนได้จาก VIX Index ที่วัดความผันผวนของ S&P500 อยู่ในระดับ 27.63 เป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ / จีน ที่เริ่มขาดโมเมนตัมการฟื้นตัว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง Glencore ปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ IPO ในปี 2554 จนต้องจ้าง IB มาศึกษาถึงแนวทางการขายธุรกิจบางส่วน หรือ Alcoa ประกาศแบ่งเป็น 2 บริษัทจดทะเบียน ตามธุรกิจเหมืองแร่และโลหะ ส่วนอีกบริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีระดับสูง คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในการแบ่งธุรกิจช่วงกลางปี 2559
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศที่เรายังสามารถให้น้ำหนักคือ การเร่งพิจารณาแผนการลงทุนขนาดใหญ่ วันนี้การประชุม ครม. คาดพิจารณาโครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 2 แห่ง มูลค่ากว่า 2.0 แสนล้านบาท รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้อนุมัติไปแล้ว จะเริ่มทยอยประมูลงานต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เริ่มจากโครงการรถไฟรางคู่เส้น จิระ - ขอนแก่น / เส้นทางมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง / สนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 / รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ดังนั้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง / กลุ่มธนาคาร จะยังมีความโดดเด่น และเกาะไปกับกระแสของนโยบายจากทีมเศรษฐกิจที่จะผลักดันให้เป็นรูปธรรมอย่างเร็วที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับภาพ SET INDEX วันนี้ เราให้โอกาสของการเกิด Technical Rebound สู่ด่าน 1,360-1,370 จุด ส่วนหนึ่งเป็นการทำ Window Dressing โค้งสุดท้าย และการปรับพอร์ตการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ SET50 Index Futures / SSF ของ Series "U" หมดอายุลง ณ ราคาปิดวานนี้ ทำให้เราให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในวันนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนอาจพิจารณาขายทำกำไรหุ้นที่สะสมมาก่อนหน้านี้ เมื่อ SET INDEX เกิดการฟื้นตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย"
Top Pick in 3Q15: BCP / BMCL/ IFEC / WHA
HOLD: ITD / TPIPL/ BJCHI/ ADVANC/ WHA/ BCP/ IFEC/ INTUCH/ KTB
Speculative Buy: SAMTEL
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ได้แก่
1. SAMTEL : ราคาปิด 19.90 บาท ราคาเหมาะสม 24.70 บาท
a) ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ โดยคาดว่าจะทราบผลการประมูลงานขนาดใหญ่กว่า 3 พันล้านบาทภายในสัปดาห์นี้ ช่วยต่อยอด Backlog ให้เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดใหม่ จากปัจจุบันที่ 9.0 พันล้านบาท และเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในปี 2559
b) คาดผลประกอบการผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วใน 2Q58 และจะเริ่มเห็นการฟื้นตัว qoq ตั้งแต่ 3Q58 เป็นต้นไป จากการรับรู้รายได้งานโครงการที่มากขึ้น และมีอัตรากำไรที่สูงกว่างานใน 1H58
c) หุ้นกลุ่มวางระบบโทรคมนาคม (SI) ได้ประโยชน์โดยตรงจากการผลักดัน National Digital Economy Master Plan ในปี 2559 - 2563 เพื่อยกระดับโครงสร้างโทรคมนาคมของประเทศ และจะส่งผลให้เกิดการประมูลงานขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากในปี 2559
d) ให้ SAMTEL เป็น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจากมี Backlog ที่แข็งแกร่ง และมี Track Record ที่ดีในการรับงานประมูลขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐฯ และเอกชน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีโอกาสชนะงานประมูลสูงกว่าบริษัทอื่นๆในกลุ่ม SI
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียขายสุทธิเป็นวันที่ 4 เพียง US$94 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$517 ล้าน เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปิดทำการวานนี้
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติ คงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 อีก 2,088 ล้านบาท รวม 4 วันทำการขายสุทธิ 12,281 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ทะลุ 1.0 แสนล้านบาท เร่งขึ้นเป็น 103,568 ล้านบาท
SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติคงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 4,782 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 10,418 สัญญา คาดว่าจะเป็นการเร่งเปิดสถานะ Short ต่อเนื่อง ส่งผลให้ S50Z15 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เป็น 18.74 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 20.17 จุด ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิมากถึง 74,195 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 3,948 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 5,810 ล้านบาท เทียบกับ 7 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 7,008 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาพันธบัตรไทยปรับฐานลงเป็นวันที่ 3 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 อีก 1.62bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 2.47bps ปิดที่ 2.830%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 1,298 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 773 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 4 กลับมาเน้นกลุ่มธนาคารและ ICT
การซื้อขายผ่าน NVDR ขายสุทธิขยับขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 677 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 261 ล้านบาท รวม 4 วันทำการขายสุทธิเป็น 3,049 ล้านบาท เทียบกับ 7 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 7,262 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นการกลับมาลดน้ำหนักกลุ่มธนาคารเด่นอีกครั้ง สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มธนาคารถูกกลับมาขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 381 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิสูงสุด 135 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ขายสุทธิ 265 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 286 ล้านบาท กลุ่มพลังงานขายสุทธิ 139 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มขนส่ง ถูกซื้อสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 79 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
รายได้ส่วนบุคคล เดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 0.3% mom ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 0.4% mom และเดือนก่อนหน้าที่ 0.5% mom โดยเงินเดือนและค่าจ้างเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งอีก 0.5% mom จากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.6% mom
ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล เดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 0.4% mom สูงกว่า Bloomberg consensus คาดเล็กน้อยที่ 0.3% mom แต่เท่ากับเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% mom
ยอดขายบ้านรอปิดการขายเดือนส.ค. หดตัว 1.4% mom สวนทางกับ Bloomberg consensus คาด 0.5% mom และเดือนก่อนหน้าที่ 0.5% mom โดยยอดขาย 3 ใน 4 เขต ชะลอตัวลง มีเพียงเขตตะวันตกที่ยอดขายบ้านเพิ่มขึ้น
ประธานเฟด 2 สาขาบอกเฟดควรขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้
ประธานเฟดสาขานิวยอร์คยืนยันเฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้: และเป็นการเพิ่มระดับความเข้มงวดทีละน้อยหลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่เศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน อาจช่วยให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น หากเศรษฐกิจจีนปรับตัวดีขึ้น
ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยภาในปีนี้เช่นกัน: เนื่องจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ของราคาสินค้าทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาบ้าน เฟดจึงควรเข้ามาควบคุมความต่างดังกล่าว ขณะที่อัตราการว่างงานจะปรับตัวลงต่ำกว่า 5.0% ภายในปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมาย 2.0%
Shell งดการลงขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งอลาสก้า: หลังจากลงทุนไปแล้ว US$7.0 พันล้านในแท่นขุดเจาะน้ำมันอลาสก้า และไม่ประสบความสำเร็จในการขุดหาน้ำมันหรือก๊าซ ดังนั้น Shell จะหยุดการลงทุนในโครงการดังกล่าวนอกชายฝั่งออกไปก่อน
ยุโรป
ไม่มี
จีน
กำไรของภาคอุตฯ ลดลงแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2554: กำไรของภาคอุตฯ ลดลง 8.8% yoy หดตัวลงแรงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลเดือนต.ค. 2554 โดยกำไรภาคการผลิตถ่านหินหดตัว 64.9% ในช่วง 8M58 ส่วนน้ำมันและก๊าซลดลง 67.3% และโลหะ ลดลง 51.6% ในช่วง 8M58
เอเชียแปซิฟิก
ประธาน BoJ พร้อมเพิ่มมาตรการผ่อนคลาย: นาย Kuroda ยืนยันว่า BoJ พร้อมที่จะขยายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หากจำเป็นที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.0% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและค่าแรง จะนำไปสู่การผลักดันอัตราเงินเฟ้อตามเป้าหมาย
ไทย
คลังรีดแวต 7% จนถึง 30 ก.ย. 59 เดินหน้าขาดดุล: วันที่ 28 กันยายนนี้ว่า รัฐบาลยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่อัตรา 7% เหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีการทบทวนการดำเนินงานในส่วนนี้แบบปีต่อปีหลังจากที่มีการต่ออายุไปแล้ว วันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 592) พ.ศ.2558 โดยได้ประกาศคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 7% โดยให้มีผลออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 - 30 ก.ย.59 ทั้งนี้ การประกาศให้มีการลดภาษีแวตเหลือ 6.3% นั้น ยังไม่รวมการเรียกเก็บภาษีแวตที่ต้องจัดสรรให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นในอัตรา 1 ใน 9 ของอัตราภาษีที่จัดเก็บอยู่ หรืออัตรา 0.7% ดังนั้นหากรวมในส่วนที่ต้องจัดสรรแล้ว อัตราภาษีแวตจะยังคงอยู่ที่ระดับ 7% เช่นเดิม
คลังยันไม่ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ ลุยกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน: รมว.คลัง เปิดเผยว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถืออยู่ THAI / PTT/ TMB เพื่อนำเงินมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศหรือนำเงินมาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในปีงบประมาณ 59 ตามที่มีกระแสข่าวลือ และแนะนำอย่าหลงเชื่อบุคคลภายนอกที่ไม่รู้ข้อมูล แต่ทั้งนี้รัฐจะใช้วิธีตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานกองใหญ่กองเดียว เพื่อระดมทุนมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่โดยจะทยอยลงทุนแต่ละโครงการซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาขนาดวงเงินและผลตอบแทน สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่มีมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท ขณะนี้ รัฐกำลังวางแผนระดมเงินทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโดยจะตั้งเป็นกองทุนขนาดใหญ่และนำเงินที่ได้แบ่งสัดส่วนลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อลดความซับซ้อนโดยรัฐบาลจะค้ำประกันผลตอบแทน ทำให้กองทุนได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสูง ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่จากต่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงจะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) ด้วย
ยอดส่งออกหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8: เดือน ส.ค. หดตัว 6.70% yoy (ในรูป US$) จากเดือนก่อนที่หดตัว 3.56% yoy หดตัวแรงกว่า Bloomberg Consensus คาดหดตัว 3.10% yoy เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องลดลง นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ ทำให้ใน 8M58 ส่งออกหดตัว 4.92% ด้านยอดนำเข้าหดตัว 4.80% yoy ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลที่ระดับ US$721 ล้าน ต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาด US$965 ล้าน
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530