- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 28 September 2015 17:14
- Hits: 2624
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยังแกว่ง...เลือกซื้อเป็นรายบริษัท'
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today:AOT
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : CPF 13%, DTAC 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ โดยมีโอกาสปรับขึ้นต่อในระยะสั้น
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380,1390-1400 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 900,910-920 ค่าลบ
Technical Picks- Today : TCMC, SAMTEL, VNG, BCP, CENTEL, BLA, VIBAH, STAR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปิดปรับขึ้นเล็กน้อย (+4.48 จุด ปิดที่ 1376.83) การซื้อขายค่อนข้างซบเซา เพราะนักลงทุนกำลังมองหาปัจจัยใหม่ อย่างไรก็ตาม แรงซื้อหุ้นใหญ่บางตัวก็เข้ามาประปราย เช่น KBANK, AOT, ADVANC, INTUCH เป็นต้น การปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของธปท.ไม่ได้กระทบตลาด เพราะคาดการณ์ตัวเลขไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และออกมา In line กับที่ประเมินไว้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.9 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือเป็นซื้อสุทธิ
ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา แต่ความหวังว่านักลงทุนสถาบันอาจทำราคาปิดสิ้นไตรมาส (Window Dressing) อาจช่วยกระตุ้นตลาดในระยะสั้นได้ ส่วนตลาดหุ้นฝั่งยุโรปดีขึ้นในวันศุกร์ โดยราคาหุ้นในกลุ่มยานยนต์มีรีบาวด์หลังดูว่าผลกระทบกับค่ายรถยนต์อื่นๆจะจำกัดมาก ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นดีเพราะ GDP Growth ของไตรมาส 2/58 ออกมาดีกว่าคาด โดยเติบโตถึง 3.9% อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดี ก็กลับมากังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งยังไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนเมื่อสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง แต่เราคาดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเล็งเห็นว่าความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกไม่ได้สูงมาก ซึ่งล่าสุดผู้นำจีนก็แสดงความเห็นว่าค่าเงินหยวนไม่น่าจะอ่อนลงไปจากนี้อีก (แต่ก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะเศรษฐกิจจีนก็เติบโตชะลอตัวมาก อาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินกระตุ้นภาคส่งออก) สำหรับปัจจัยในประเทศ ก็เป็นเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุดมีกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังอาจขายหุ้น PTT-THAI-TMB เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ซึ่งคาดว่าไม่น่าขายในราคาต่ำ (ถ้ามีการขายจริง) กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไปได้ดีและยังเป็น Key Growth ของเศรษฐกิจไทยคือท่องเที่ยว หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น คือ AOT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ โดยมีโอกาสปรับขึ้นต่อในระยะสั้น การซื้อเก็งกำไรตามรอบใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1380-1390, 1400 จุด ค่าลบดูไม่ดี ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ AOT, SAMTEL, BCP, BLA, VIBHA, TCMC, STAR ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังถือต่อได้/หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ CENTEL, VNG, IFEC, SAWAD, TOP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : GDP Growth ประจำไตรมาส 2/58 ขั้นสุดท้ายเติบโต 3.9% ดีกว่Zประมาณการครั้งก่อนที่ 3.7% และมีโมเมนตัมที่จะเติบโตปานกลางในไตรมาส 3/58
สหรัฐ : ความเชื่อมั่นเดือนก.ย.ลดลงแต่ดีกว่าคาด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐขั้นสุดท้ายประจำเดือนก.ย.58 ลดลงเป็น 87.2 จาก 91.9 ในเดือนส.ค. แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 86.7
สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.อ่อนลงเป็น 55.6 จากระดับสูงสุดของรอบ 4 เดือนที่ 56.1 ในเดือนส.ค. ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการเติบโตเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น โดยดัชนี DJIA ปิดเพิ่มขึ้น 113.35 จุด หรือ +0.7% ตอบรับ GDP Growth ไตรมาส 3/58 ที่ขยายตัวดีเกินคาด แต่การที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ยังถ่วงการปรับขึ้นอยู่ นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มยานยนต์ผ่อนคลายลง หลังตลาดตอบรับข่าวอื้อฉาวของบริษัทโฟล์คสวาเกนไปแล้วในสัปดาห์ก่อน หุ้นกลุ่มการเงินปรับขึ้นเพราะคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้กำไรภาคการเงินดีขึ้น
+ ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น หนุนโดยจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลดลง โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 79 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 45.7 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 48.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้เบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลง 4 แห่งในสัปดาห์ที่แล้วเป็น 640 แห่ง ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนั้นสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์สิ้นสุด 18 ก.ย.58 ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรลเป็น 454 ล้านบาร์เรล โดย EIA คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยของสหรัฐในปี 2558 จะอยู่ที่ 9.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะลดลงสู่ระดับ 8.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 59
- ราคาทองคำตลาด COMEX ร่วงลง โดยสัญญาส่งมอบธ.ค.58 ปิดลดลง 8.20 ดอลลาร์ หรือ -0.71% ปิดที่ 1,145.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & Theme เด่น
+ Window Dressing : สัปดาห์นี้เป็นช่วงซื้อขายของสิ้น 3Q58 ตลาดจึงมีความหวังว่านักลงทุนสถาบันอาจมีการทำราคาปิดหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งนี้ SET Index ระดับปิดวันศุกร์ที่ 25 ก.ย.ต่ำกว่าระดับปิดของสิ้น 2Q58 อยู่ 8.5%
คลังเล็งขายหุ้น PTT-THAI-TMB รวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท โดยจะถือหุ้น PTT และ THAI ต่ำกว่า 51% ส่วน TMB จะขายยกล็อต โดยจะนำเงินมารองรับค่าใช้จ่ายรัฐบาล โครงการประชารัฐ รวมทั้งรับภาระหนี้จำนำข้าว (ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 28 ก.ย.58)
ปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้น PTT 1,460 ล้านหุ้น คิดเป็น 51.11%, ถือ THAI 1,114 ล้านหุ้น คิดเป็น 51.03% และถือ TMB 11,364 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.98%
-/ KTB & SCB : Moody's ปรับแนวโน้มเครดิตเป็นลบ (มีโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตลง 50% ในระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่ประกาศ) โดยมาจากกรณี SSI กลายเป็น NPL และธนาคารต้องตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองธนาคารพยายามหาวิธีการที่ทำให้เงินกองทุนถูกกระทบน้อย โดย KTB อาจมีการนำสำรองส่วนเกินของหนี้ก่อนอื่นที่กลับมา Perform ดีชดเชยกับสำรองที่ต้องตั้งสำหรับ SSI และ SCB ขายเงินลงทุนและนำกำไรมาชดเชยกับสำรองที่ต้องตั้ง ทำให้กำไรบรรทัดสุดท้ายถูกกระทบไม่รุนแรง
/- กลุ่มที่พักอาศัย : ต้นทุนค่าที่ดินสูงขึ้นมาก...ปรับขึ้นราคาขายแต่ลดขนาดลงเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาต่อยูนิตมากเกินไป กรมธนารักษ์ เปิดเผยราคาประเมินที่ดินใหม่ว่าปรับขึ้นเฉลี่ย 15% ในทั่วประเทศ แต่ในบางพื้นที่ปรับขึ้นแรงมาก เช่น ทำเลใกล้รถไฟฟ้า (บางแห่งปรับขึ้นถึง 75% หลายแห่งปรับขึ้น 40-50% บริเวณสถานีมีบางแห่งปรับขึ้น 150%), พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษแนวชายแดนก็ปรับขึ้นแรงรอรับการเปิด AEC เป็นต้น สำหรับราคาที่ดินแพงสุดอยู่ในทำเลสีลม (ตารางวาละ 1 ล้านบาท)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการที่พักอาศัย โดยเฉพาะในเมืองและใกล้แนวรถไฟฟ้า เพราะทำให้ต้นทุนพัฒนาโครงการปรับขึ้น ทั้งนี้ถ้าราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 50% ขณะที่ค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆคงที่ พบว่าต้นทุนพัฒนาโครงการจะเพิ่มขึ้นราว 8-15% โดยมีสมมติฐานสัดส่วนค่าที่ดินคิดเป็น 25-30% ของต้นทุนก่อสร้างทั้งหมดของโครงการ ซึ่งผู้ประกอบการจะผลักต้นทุนที่สูงไปยังผู้บริโภคด้วยการปรับขึ้นราคาขายต่อตรม.ให้สูงขึ้น โดยวิธีการที่ทำให้ไม่กระทบกำลังซื้อผู้บริโภคมาก คือ ทำห้องขนาดเล็กลง แต่ออกแบบให้เกิดประโยชน์ใช้สอยได้อย่างเต็มพื้นที่ เพื่อให้ราคาต่อยูนิตและความสะดวกสบายในที่พักอาศัยเท่าเดิม เรามีมุมมองที่ค่อนไปทางบวกกับกลุ่มที่พักอาศัย เพราะมองว่าอุตสาหกรรมยังไปได้ดี มีช่องว่างในการเติบโตได้อีกพอควร หุ้นที่ชอบเป็น LPN (เป็นผู้นำคอนโด มีบริการหลังการขายที่ดี Valuation จูงใจ ฐานะการเงินดี จ่ายปันผลสูง), SPALI (มีการกระจายสินค้าที่ดี มีทั้งแนวราบและแนวสูง ควบคุมค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพทำให้มีมาร์จิ้นดี Valuation จูงใจ จ่ายปันผลสูง), QH (มีรายได้จากการลงทุนที่ดี และมีรายได้ค่าเช่าที่แน่นอน Valuation จูงใจ จ่ายปันผลสูง)
อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังซื้อที่อ่อนแอในปีนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ชัดเจน หลายบริษัทจึงปรับแผนเลื่อนเปิดโครงการ (เช่น LPN เดิมจะเปิด 10 ก็ลดลงเป็น 6 โครงการ มูลค่าขายลดลงไป 4 พันล้านบาท แต่การโอนรับรู้รายได้ยังอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาทในปีนี้) ในการลงทุนจึงเป็นการทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]
Update อุตสาหกรรมและหุ้นรายบริษัท
TRC (ราคาปิด 2.14 บาท) : เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเหมืองโปรแตช โดยบริษัทแจ้งตลาดฯว่าบริษัทเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน (APMC) อีกไม่เกิน 6.3 ล้านหุ้น (35.13% ของทุนเรียกชำระแล้ว) ในราคา 1,260 ล้านบาท (ซื้อที่ราคาหุ้นละ 200 บาท ราคาพาร์ 100 บาท)
งานก่อสร้างในมือจะเพิ่มขึ้น 22 พันล้านบาท ซึ่งเป็นงานก่อสร้างเหมืองโปแตช ทำให้มูลค่างานในมือเพิ่มเป็น 27.7 พันล้านบาท จาก 5.7 พันล้านบาทในสิ้น 2Q58 แต่การที่งบการเงิน
อย่างไรก็ตาม การถือหุ้นเพิ่มใน APMC ครั้งนี้ ทำให้ TRC ต้องรับรู้ Equity Income เข้ามาในงบกำไรขาดทุน ซึ่งในช่วง 3 ปีแรก APMC ยังขาดทุน จึงจะรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนเข้ามาใน TRC ก่อน ขณะเดียวกันบริษัทมีดอกเบี้ยจ่ายจากการออกหุ้นกู้เพื่อใช้ในการลงทุน ยังผลให้งบการเงินในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะยังไม่ดีนัก มีหุ้นต้นทุนต่ำถือลงทุนได้ แต่การซื้อใหม่เน้นจังหวะอ่อนตัว
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค
[email protected]