- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 17 September 2015 19:05
- Hits: 11472
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ซื้อเก็งกำไรดักผลประชุมเฟด"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: LPN (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 57%, THAI 13%, CPF 12%
Technical View ตลาดพลิกเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1390,1400 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 910-920 ค่าลบ
Technical Picks- Today : BCP, CPN, RCI, IRPC, GLOBAL, BLA, PTTGC, IVL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ดีดกลับ โดยปิด +11.15 จุด ที่ 1381.80 โดยเป็นผลจากความไม่แน่นอนได้ชัดเจนไป 1 เรื่องคือกนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ 1.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และการซื้อเก็งกำไรล่วงหน้าก่อนทราบผลประชุมเฟดในวันนี้ (17 ก.ย.) นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ สถาบันในประเทศและรายย่อยขายสุทธิ โดยแต่ละกลุ่มซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก
ในระยะสั้นมาก Sentiment การลงทุนยังเป็นบวก โดยการคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ทำให้ราคาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น หุ้น, ทองคำ ปรับขึ้นเนื่องจากมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังไม่แข็งค่าขึ้นเร็ว ส่วนราคาน้ำมันดิบก็พุ่งขึ้นในช่วงนี้เพราะสต็อกน้ำมันดิบลดลงเกินคาด ส่วนในประเทศ กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ 1.50% ตามคาด แนวโน้มเศรษฐกิจยังซบเซาและทำให้ GDP Growth ปีนี้มีโอกาสต่ำกว่า 3% แต่คาดว่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้นใน 1Q59 ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นต่างๆที่รัฐบาลได้เร่งออกไปตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.58 กลยุทธ์ : เก็งกำไรระยะสั้นเมื่อราคาหุ้นและ SET ยืนเหนือ 1380 โดยไม่ควรหวัง Gap กำไรมากเพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงและไม่แน่นอนอีกหลายปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน การถือลงทุนระยะกลาง-ยาวเน้นไปที่หุ้น Defensive & ปันผลสูง สำหรับหุ้นพื้นฐาน
แนะนำวันนี้เป็น LPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพโดยรวมของตลาดพลิกเป็นบวกเล็กๆ การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1390, 1400-1410 ค่าลบดูไม่ดี ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตามเมื่อมีเงินสดเหลืออยู่น้อย สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจเลือกซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ KCE, LH, M, CPN, RCI, IRPC, PTTGC, IVL, GLOBAL ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังถือต่อได้/หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้น คือ BCP, BLA, STAR, MAX, SYNEX, LST
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- สหรัฐ : เงินเฟ้อเดือนส.ค.ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.1%MoM ในเดือนส.ค. โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.58 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในเดือนส.ค.
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านพุ่งขึ้นเป็น 62 ในเดือนก.ย. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่พ.ย.48 (สูงกว่า 50 คือเชื่อมั่นดีขึ้น)
ยูโรโซน : อัตรางินเฟ้อเดือนส.ค.ยังต่ำมาก สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปหรือยูโรสแตทรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเดือนส.ค.อยู่ที่ 0.1% ลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 0.2% โดยการปรับลดอัตราเงินเฟ้อของเดือนส.ค.เกิดจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำทำให้ธนาคารกลางยุโรปจะยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก ทั้งนี้เป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวของ ECB อยู่ที่ 2%
+ สหรัฐ : ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นต่อ โดยดัชนี DJIA ปรับขึ้น 140.10 จุด (+0.84%) หนุนโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกื้อหนุนให้เฟดไม่ต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว โดยตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% ในการประชุมรอบ 16-17 ก.ย.นี้
+ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวลดลงเกินคาด..คาดสหรัฐลดปริมาณการผลิตลง โดย EIA เปิดเผยสต็อกสัปดาห์ก่อนลดลง 2.1 ล้านบาร์เรลสู่ระดับ 455.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเช่นกัน
+ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอนเพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ ราคาทองคำปรับขึ้นแรง สัญญาตลาด COMEX +16.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 1119.0 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ไทย : กนง.มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%...ซึ่งเป็นไปตามคาด โดยคณะกรรมการฯประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบันเกื้อหนุนต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย ประเมินว่าในปี 58 การเติบโตของเศรษฐกิจมีโอกาสต่ำกว่า 3% เนื่องจากกำลังซื้อภาคครัวเรือนยังอ่อนแอ เนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนสูง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำยาวนาน ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว รวมถึงภาคส่งออกที่หดตัวเพราะเศรษฐกิจโลกซบเซา โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่เติบโตลดลงมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการที่รัฐบาลเร่งออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้เกิดการฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะพลิกกลับเป็นบวกได้ใน 1Q59
+ กลุ่มสื่อสาร : กสทช.ผ่านร่างหลักเกณฑ์ประมูล 4G คลื่น 900 MHz แล้ว โดยมีจำนวน 2 ใบอนุญาต (ใบละ 10 MHz) ราคาเริ่มประมูลใบละ 12,864 ล้านบาท กำหนดประกาศเชิญชวน 24 ก.ย.-25 ต.ค.58 เปิดยื่นเอกสารประมูล 26 ต.ค.58 และวันประมูล 15 ธ.ค.58...นับเป็นบวกกับกลุ่มสื่อสาร ที่การประมูล 4G มีความคืบหน้ามากขึ้น
ADVANC : ออกมายืนยันว่าการแก้ไขสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ได้ทำผิดสัญญาร่วมการงานกับ TOT ซึ่งจากข้อมูลที่ได้มาพบว่าความเสียหายในกรณีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) รายได้จากภาษีสรรพสามิตที่ได้รับน้อยลงมูลค่า 7.2 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนนี้ไม่ได้กลับเข้ามาที่ ADVANC แต่ถูกจัดสรรไปยังหน่วยงานอื่นของรัฐ และ 2) รายได้จากส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงจาก 30% เป็น 20% มูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท
ในกรณีที่แย่ที่สุด เรามองว่าผลกระทบต่อ ADVANC จะเป็นเฉพาะในส่วนที่ 2 (ซึ่งคิดเป็น 12.1 บาท/หุ้น ADVANC และทำให้ NAV ของ INTUCH ลดลง 4.5 บาท/หุ้น) เพราะเงินที่ TOT ไม่ได้ในส่วนที่ 1 ก็เข้าภาครัฐอยู่ดี แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการไต่สวนและฟ้องร้องยังต้องอีกหลายขั้นตอนมาก ทั้งต้องผ่านการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ, การยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งก็ต้องดูอีกว่าศาลฯจะรับคำร้องหรือไม่ หากศาลฯรับฟ้องก็ต้องต่อสู้กันอีก 3 ศาล ราคาหุ้น ADVANC และ INTUCH ที่ปรับลดลงเป็นจังหวะในการซื้อเพื่อรับปันผลสูง ณ ราคาปิดวานนี้ เราคาดการณ์ Dividend Yield ของ ADVANC และ INTUCH สำหรับปีนี้ไว้ที่ 5.4% และ 6.4% ตามลำดับ
+ กลุ่มที่พักอาศัย : กระทรวงการคลังรุกคืบจะเสนอครม.พิจารณาลดภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเราคาดว่ารัฐบาลน่าจะพิจารณาลดหย่อนภาระภาษีให้กับผู้ซื้อที่พักอาศัยในระดับราคากลาง-ล่างเพื่อการพักอาศัยจริง ไม่ใช่เพื่อลงทุนหรือเก็งกำไร โดยหากมีมาตรการกระตุ้นออกมาจริง ก็จะเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มที่พักอาศัย โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากที่อยู่อาศัยในราคาไม่สูงมาก ในเชิงกลยุทธ์ หุ้นเด่นเป็น LPN รองลงมาคือ SPALI, PS, SENA, LALIN
+ LPN : กำไรสุทธิปี 58 เติบโตสูงสุดในกลุ่ม โดยประมาณการไว้ที่ +35%YoY เพราะมีการโอนคอนโดเข้ามามาก ส่วนปี 59 คาดการณ์กำไรสุทธิขยายตัวต่อ 8% บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ 1.5 หมื่นล้านบาท โดย 1H58 เปิดขายไปแล้ว 4.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเปิดขายใน 2H58 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิที่สูงราว 15-16% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.5 เท่า จ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend Yield ปี 58-59 เท่ากับ 5.5% และ 6.0% ตามลำดับ ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อ ทาง DBS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 18.50 บาท อิงกับ P/E ปีน 58 ที่ 10 เท่า
+ TUF : ประกาศโครงการประกันราคากุ้งขั้นต่ำ เพื่อให้มีความมั่นคงทางวัตถุดิบและเกษตรกรขายกุ้งได้ในราคาไม่ขาดทุน โดยโครงการประกันนี้มีปริมาณรับซื้อ 1.2 หมื่นตัน ระยะเวลา 6 เดือน (ต.ค.58-มี.ค.59) ใช้เงินในโครงการ 1.5-2.0 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการราว 1.6 พันราย บริษัทคาดหวังว่าโครงการนี้จะจูงใจให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งมากขึ้นเพราะขายได้ในราคาไม่ขาดทุน ขณะที่บริษัทก็มีความมั่นคงทางวัตถุดิบมากขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำซื้อ TUF โดยให้ราคาพื้นฐาน 22.40 บาท ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 58-59 จะขยายตัว 13% และ 10% ตามลำดับ ปัจจัยที่ติดตาม คือ ความคืบหน้าของดีลการเข้าซื้อ Bumble Bee
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]