WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KK copyบล.เคเคเทรด : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

ความเสี่ยงเริ่มสูงขึ้น
SET View
       แนวโน้ม SET หลุดแนวรับบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่เราประเมินไว้ ทำให้ภาพการฟื้นตัวระยะสั้นเสียทรง เรามองว่า จากนี้แนวโน้ม SET จะเป็นการแกว่งตัวออกข้างหรือแกว่งตัวเชิงลบ ช่วงนี้มูลค่าการซื้อขายของ SET เบาบางสะท้อนว่า นักลงทุนเลือกที่จะ wait and see รอผลการประชุม Fed 16-17 ก.ย.นี้ (ดูรายละเอียดหัวข้อ Strategy Talk)


       วันนี้ประเมินกรอบ SET 1370-1385 จุด หาก SET เคลื่อนไหวต่ำกว่า 1375 จุด เรายังแนะนำทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต
ประเด็นข่าว / ดัชนีเศรษฐกิจ
• วานนี้ จีนรายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. ขยายตัว 6.1% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 6.5% YoY และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ขยายตัว 10.9% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 11.2% YoY ทำให้นักลงทุนกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของจีน กดดันตลาดหุ้นจีนให้ปรับตัวลดลงไปกว่า 2.7%
• คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เตรียมเสนอ ครม.พิจารณามาตรการขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากสูงสุด 8 ปีเป็น 13 ปี และหลังจากนั้น เพิ่มการลดหย่อนภาษีจากปัจจุบันที่ให้ 50% เพิ่มเป็น 90% ในเวลา 5 ปีหลังจากครบ 13 ปีแรก ถือเป็นข่าวบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA (ถือหุ้น HEMRAJ)
• บริษัทที่เข้าร่วมกิจกรรม Opportunity Day วันนี้ ได้แก่ FVC, KBS, TPCH, ATP30, CI, LST, UPOIC
กลยุทธ์การลงทุน : หาก SET เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1375 จุด แนะนำทยอยขายหุ้นบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงก่อน แต่หากยืนอยู่ได้ แนะนำถือหุ้นต่อ ช่วงนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้แนวโน้มราคาน่าจะแข็งแกร่งกว่าหุ้น Global plays


Top Daily Pick : PLANB (มูลค่าเหมาะสม 7.15 บาท) คาดผลประกอบการ 2H58 เติบโตสูง 58%YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อนเนื่องจากปัญหาการเมือง, มี Upside จากโอกาสในการลงทุนต่างประเทศในอนาคต เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย (ยังไม่ได้รวมในประมาณการ), ซื้อขายที่ PEG 0.9 เท่าต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง VGI และ MACO ที่ราว 1.2-1.3 เท่า และ MC (มูลค่าเหมาะสม 15.70 บาท) ได้รับประโยชน์เชิง Sentiment จากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เนื่องจากมีจำนวนสาขาในต่างจังหวัดคิดเป็น 70% ของจำนวนสาขารวมทั้งหมด, ซื้อขายที่ P/E ratio ต่ำเพียง 13.2 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกที่ 25 เท่า
Technical Pick : ITD MILL CEI SIAM BEC (โปรดอ่านบทวิเคราะห์ Technical เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน)
Theme Plays : หุ้นที่ได้รับผลบวกจากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน (เริ่มปล่อยเงินช่วยเหลือตั้งแต่ 14 ก.ย.นี้) (GL, GCAP, TK, THANI, S11, GLOBAL, MC, DRT, DCC) /หุ้นท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเริ่มคลี่คลาย (MINT, ERW)

 

Strategy Talk
 ยังเชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้
• ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองในสัปดาห์นี้ คือ การประชุม Fed วันที่ 16-17 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นการประชุมที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่า Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก หลังหมดยุค QE
• ผลการสำรวจล่าสุดของ Wall Street Journal (เมื่อ 11 ก.ย.) บ่งชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กว่า 46% คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ คล้ายกับ ผลสำรวจของ Bloomberg (1 ก.ย.) ซึ่ง 48% ของผู้ตอบ คิดแบบนั้นเช่นกัน
• แต่มุมมองของเทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์สอ้างอิงดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ กลับมองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ธ.ค.แทน และเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้การประชุมกำลังจะเกิดขึ้นใน 1-2 แต่ในตลาดฟิวเจอร์ส ประเมินความน่าจะเป็นที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้ต่ำมากเพียง 23% เนื่องจากความปั่นป่วนในตลาดทุนในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นปัจจัยที่ตลาดมองว่า น่าจะสร้างความกังวลให้กับ Fed และอาจเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป


• ฝ่ายวิจัย Bank of America Merrill Lynch ยังคงคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ทันที อิงแนวโน้มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เป็นไปในเชิงบวกและดัชนีตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดวิกฤติซับไพรม์
• ปัจจัยสำคัญคือ จีน ซึ่งต้องเผชิญศึกหลายด้านทั้งในและนอกประเทศ ล่าสุด ในเดือน ส.ค. มีกระแสเงินทุนไหลออกจากจีนมากสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้จีนต้องพยุงค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนเกินไป แต่ต้องแลกมาด้วยการขายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น หาก Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย น่าจะมีกระแสเงินทุนไหลออกจากจีนปริมาณมากอีก และจีนอาจต้องยอมผ่อนคันเร่งให้การพยุงค่าเงิน โดยปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าอีกรอบ คล้ายกับเหตุการณ์เมื่อ 11-13 ส.ค. ซึ่งทำให้ค่าเงินเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่า และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานแรง
• สำหรับ SET เรามองว่า ได้ซึมซับความกังวลจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไปมากพอสมควรแล้วสะท้อนจาก 1) นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยตั้งแต่กลางปี 2556 (การส่งสัญญาณลดวงเงิน QE หรือ QE tapering) และยังไม่ไหลกลับเข้ามาอย่างมีนัยเลย 2) Valuation ของ SET ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจาก P/E ratio 19 เท่าเหลือเพียง 15 เท่าในปัจจุบัน (เทียบเท่าค่าเฉลี่ย 13 ปี + 0.5S.D.) ขณะที่ส่วนต่างผลตอบแทนของ SET และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี เข้าสู่จุดสมดุลที่ค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีที่ 3.5%
• ในระยะถัดไป ควรระมัดระวังการลงทุนในบริษัทที่กู้ยืมเงินมาทำธุรกิจในสัดส่วนที่สูง (High financial leverage หรือ High D/E ratio) เนื่องจากเมื่อดอกเบี้ยกลับทิศเป็นขาขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายย่อมสูงขึ้น ลดทอนประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท

Smart Port Note


 Beta ของพอร์ตลงทุนแสดงถึงความเสี่ยงของหุ้นในพอร์ตเทียบกับตลาด SET หากค่า Beta สูงกว่าหนึ่งเท่า แสดงถึงความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนที่สูงกว่า SET
Growth Port มีค่า Beta เท่ากับ 1.38
Trading Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.74
Dividend Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.78
Quant Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.98

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!