- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 14 September 2015 16:47
- Hits: 1900
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนี 1386-1390 จุด ยังเป็นอุปสรรคระยะสั้น แต่คาดว่ายังมีแนวโน้มฟื้นตัวจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะเดินหน้านับจากนี้ จึงยังเน้นหุ้น Domestic Play Top picks คือ KBANK(FV@B232) และ TCAP(FV@B37)
การประชุม Fed สัปดาห์นี้น่าจะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป
เชื่อว่าตลาดหุ้นยังคงแกว่งตัว โดยยังให้น้ำหนักเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยผลจากการสำรวจของ Bloomberg ล่าสุด คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของจีนในงวด 2Q58 จะลดลงเหลือ 6.6%yoy เทียบกับเดือน มิ.ย. 7.0% ในงวด 1Q58 และ ทั้งปีน่าจะต่ำกว่า 7%ขณะที่การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ล่าสุดเดือน ส.ค ยังคงทรงตัว หรือกระเตื้องเล็กน้อยกล่าวคือผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 6.1% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 6.0% ขณะที่ทางด้านยอดค้าปลีก เดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 10.8% มากกว่าเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 10.4% ด้วยเหตุนี้ทำให้รัฐบาลจีนเตรียมเดินหน้า ปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐฯ พร้อมกับหนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง
ขณะที่สัปดาห์นี้จะมีการประชุมของธนาคารกลายแห่ง เริ่มจากธนาคารกลางสหรัฐ จะมีการประชุม FOMC วันที่ 16-17 ก.ย. นี้ ซึ่งนักเศรษฐศาตร์ส่วนใหญ่เทน้ำหนักไปทางด้านที่ Fed จะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ สะท้อนจากจากผลสำรวจของ Bloomberg เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว พบว่า ผู้ที่คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ เหลือเพียง 28% เท่านั้น (ลดลงจาก 38% เมื่อปลายเดือน ก.ค.) ขณะที่จำนวนผู้ที่คาดว่าจะยังคงดอกเบี้ย 0.25% เพิ่มขึ้นเป็น 72% (จาก 62% เมื่อเดือน ก.ค.) โดยอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปีนี้ ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 0.76% (ลดลงจากดอกเบี้ยเป้าหมายของ Fed ที่ประกาศเมื่อครั้งการประชุมเดือน ก.ย. 2557 ที่ 1.375%) สอดคล้องกับความเห็นของฝ่ายวิจัยที่คาดว่า Fed จะยังไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่อาจจะขึ้นในช่วงปลายปี หรือเลื่อนไปเป็นปีหน้า
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่จะมีการประชุมธนาคารกลาง (BOJ) ในวันที่ 15 ก.ย. แม้ตลาดคาดการณ์ว่า BOJ จะยังคงนโยบายการเงินตามเดิม แต่กลับให้ความสนใจไปที่การประชุมรอบถัดไปในวันที่ 30 ต.ค. ซึ่งเป็นวันที่มีการแถลงถึงมุมมองเศรษฐกิจในปีหน้า และเป็นโอกาสดีที่ BOJ จะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
ขณะที่ไทย จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 ก.ย. นี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% ดังเดิม เนื่องจากเงินบาทยังอยู่ในระดับที่อ่อนค่าบริเวณ 36 บาท/เหรียญฯ โดยเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่น่าจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าการลดดอกเบี้ยดังเช่นที่ผ่านมา
ต่างชาติสลับขายสุทธิ แต่น่าจะกลับมาซื้อหุ้นไทยใน ต.ค.
วันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 110 ล้านเหรียญ โดยเป็นการขายสุทธิทั้ง 5 ประเทศ นำโดยเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 80 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 26) ตามมาด้วยไต้หวันขายสุทธิราว 9 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) เช่นเดียวกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 4 ล้านเหรียญ และ 2 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ส่วนไทยต่างชาติสลับมาขายสุทธิอีกครั้งราว 14 ล้านเหรียญ หรือ 512 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิได้เพียงวันเดียว) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 567 ล้านบาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาสังเกตว่า แรงขายจากต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่เริ่มลดน้อยถอยลง และหากพิจารณาสถิติในอดีต (10 ปีย้อนหลัง) พบว่า ต่างชาติมีโอกาสซื้อหุ้นไทยในเดือน ต.ค. ราว 60% ก่อนที่จะกลับมาขายในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ด้วยความน่าจะเป็นราว 60% เช่นกัน โดยฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่า แรงขายจากต่างชาติน่าจะเริ่มลดลง และจะพลิกกลับมาซื้อหุ้นไทยก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้นานกว่าตลาดเพื่อนบ้าน
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 9,939 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 89 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 36 บาท/ดอลลาร์
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์