- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 10 September 2015 18:04
- Hits: 4747
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"สั้นๆมีแกว่ง...เลือกซื้อ/ถือเหนือ1380"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: SVI, TUF (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : WHA 27%, HMPRO 19%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังแกว่งจากแรงขายทำกำไร
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1400,1410 ต่ำกว่า 1380
SET50 ซื้อค่าบวก 920,930 ต่ำกว่า 895
Technical Picks- Today : BBL, PYLON, SVI, BCP, TUF, RS, BR, GLOBAL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LHK (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดพุ่งขึ้น 16.97 จุดที่ 1396.29 โดยเป็นการตอบรับกระแสคาดการณ์ว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก และมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ กระเตื้องขึ้นหลังจากทีมเศรษฐกิจได้ออกมาตรการกระตุ้นรากหญ้าและ SME ออกมาแล้ว นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิต่ออีก 1.5 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 3.9 พันล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ
สำหรับ วันนี้ Sentiment พลิกกลับเป็นลบหลังจากที่นักวิเคราะห์บางรายมองว่าโอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบ 16-17 ก.ย.นี้มีเพิ่มขึ้น เนื่องจากตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเพราะอุปสงค์ที่เติบโตไม่มากแต่มีความเสี่ยงด้านอุปทานล้นเกินอยู่ โดยประเมินอิหร่านอาจจะส่งน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในไม่ช้านี้ ทาง EIA ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 58-59 ลงอีกระลอก (โดยปรับลง 1%-1.6% จากคาดการณ์เดิม) อย่างไรก็ตาม หากต้องมี Position ในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เราให้ BCP เป็น Top pick เพราะมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจค้าปลีกและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้ามาช่วยลดความผันผวนของธุรกิจโรงกลั่น แต่สำหรับการลงทุนในเดือนก.ย.เราชอบและให้น้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้น Defensive ที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก ส่วนในระยะสั้นมากมองว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนและราคายังไม่ได้ปรับขึ้นมากก็น่าสนใจ หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อเก็งกำไรวันนี้เป็น SVI, TUF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังการแกว่งลงจากแรงขายทำกำไร ดังนั้นการซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี
หลุด 1380 แนะนำให้ลดพอร์ตตาม
สำหรับ หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ SAWAD, BCP, BR, GLOBAL ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้ว สามารถถือต่อหรือหาจังหวะขายทำกำไรได้ คือ SYNEX, AJD, M, PYLON, RS
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ภาคแรงงานมีแนวโน้มฟื้นตัวแกร่งต่อ...นักวิเคราะห์บางรายกลับมาคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 16-17 ก.ย.นี้เลย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 5.75 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2543 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐ
+ จีน : ทางการจีนยืนยันจะออกนโยบายการคลังที่มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะยังคงลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME), เพิ่มจำนวนร้านค้าปลอดภาษีตามท่าเรือต่างๆ, จัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ระดับประเทศ รวมทั้งกองทุนร่วมทุนด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยจะมีการจัดตั้งกองทุนโดยใช้งบประมาณกลาง นอกจากนั้นจะกำกับดูแลเรื่องการบริหารจัดการหนี้สินของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่น รวมทั้งการส่งเสริมการปฏิรูปภาษีอย่างต่อเนื่อง
- ญี่ปุ่น : ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรภาคเอกชนเดือนก.ค.ลดลง 3.6%MoM บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจลงทุนชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจในระยะต่อไป
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลง แม้ว่าจะปรับขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขายก็ตาม ปิดตลาดดัชนี DJIA ลดลง 239.11 จุด หรือ -1.45% ทั้งนี้การปรับขึ้นของดัชนีในช่วงแรกเป็นการตอบรับข่าวที่จีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ภายหลังจากตัวเลขการค้าระหว่างประเทศเดือนส.ค.หดตัวต่อเนื่อง แต่ตลาดอ่อนตัวลงในช่วงต่อมาเนื่องจากวิตกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- ราคาน้ำมันดิบลดลงหลัง EIA ออกรายงานปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปี 58-59 โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.79 ดอลลาร์ แตะที่ 44.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ปิดต่ำลง 1.94 ดอลลาร์ ที่ 47.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ EIA ของสหรัฐได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย WTI ปี 58-59 ลงเป็น 49.23 และ 53.57 ดอลลาร์/บาร์เรล (จากเดิม 49.62 และ 54.42 ดอลลาร์/บาร์เรล) รวมถึงปรับลดคาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐปีนี้ลงเป็น 9.22 ล้านบาร์เรล/วัน (เดิม 9.36 ล้านบาร์เรล/วัน) ส่วนของปี 59 ลดลงเป็น 8.82 ล้านบาร์เรล/วัน (จากเดิม 8.96 ล้านบาร์เรล/วัน)
- สัญญาทองคำ COMEX ปิดลดลงแรง โดยสัญญาส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 19.00 ดอลลาร์ ที่ 1,102.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประเมินไว้เมื่อหลายวันก่อน หลังตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง ปัจจัยใน
ประเทศ & หุ้นเด่น
+/- เงินบาทมีโอกาสอ่อนตัวต่อ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อยู่ในแนวโน้มแข็งค่า โดยปัจจัยหนุนหลัก คือ การเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งไม่ว่าจะเริ่มปรับขึ้นในเดือนก.ย.นี้ หรือเริ่มปรับในช่วงต.ค.-ธ.ค.58 ก็ตาม ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะกลางยังอยู่ใน Trend ขึ้นได้อยู่ ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยให้ผู้ส่งออกมีรายได้และอัตรากำไรรูปเงินบาทที่ดีขึ้น แม้ว่ายอดขายในรูปเงินตราต่างประเทศจะเติบโตไม่มากก็ตาม หุ้นที่น่าสนใจและราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นมากใน DBS Coverage คือ CPF (ราคาพื้นฐาน 22 บาท), GFPT (ราคาพื้นฐาน 11 บาท), TUF (ราคาพื้นฐาน 22.4 บาท), SVI (ราคาพื้นฐาน 5.2 บาท) เป็นต้น สำหรับบริษัทที่จะถูกกระทบทางลบจากเงินบาทอ่อนค่า คือ บริษัทที่ต้องนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่ไม่ได้ทำประกันความเสี่ยง รวมถึงบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมากๆ เช่น THAI
+ BCP (ราคาปิด 34.75 บาท) : มีแผนนำ BCPG เข้าจดทะเบียนในตลาดฯปี 59 โดย BCPG ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 118 MW และจะขยายเป็น 300 MW ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ และมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 500 MW ใน 4-5 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นกำลังจะให้บอร์ดพิจารณาเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้ภิภพในมาเลเซียขนาด 30 MW สัดส่วน 30% บริษัทคาดว่าใน 3Q58 ยังคงมีกำไรสุทธิแม้ว่าจะมีผลขาดทุนในสต็อกเกิดขึ้นก็ตาม เพราะใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 1.15 แสนบาร์เรล/วัน (จาก 1.12 แสนบาร์เรล/วันใน 2Q58) ทั้งนี้ BCP มีกำลังการผลิตโรงกลั่นปัจจุบัน 1.2 แสนบาร์เรล/วันและจะเพิ่มเป็น 1.4 แสนบาร์เรล/วันใน 4 ปีข้างหน้า
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : นักวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ BCP เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงกลั่น และแนะนำซื้อลงทุน โดยให้ราคาพื้นฐานเท่ากับ 39 บาท ทั้งนี้มองว่าบริษัทมีจุดเด่นเรื่องการจ่ายปันผลสูง คาดการณ์เงินปันผลปีนี้ 1.90 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 5.5% และมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน & พลังงานทดแทนเข้ามาช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน
/- PS (ราคาปิด 28 บาท) : ปรับลดจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ปีนี้ลงเป็น 50-55 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5 หมื่นล้านบาท (จากเดิมจะเปิดใหม่ 70-75 โครงการ) เนื่องจากกำลังซื้อชะลอตัว ทั้งนี้ใน 1H58 เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 27 โครงการ มูลค่า 2.53 หมื่นล้านบาท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เราเห็นว่าการปรับแผนกลยุทธ์บริษัทสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ซบเซานานกว่าคาด ซึ่งจะช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทไม่ตึงตัว เพราะถ้าเปิดโครงการจำนวนมากแต่ขายได้ช้า โอนช้า แต่การก่อสร้างเดินหน้าปกติก็จะทำให้เงินจมเยอะ อย่างไรก็ตาม จะทำให้รายได้และการรับรู้รายได้ในปี 59-60-61 มีโอกาสต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์เคยประมาณการไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเศรษฐกิจในปี 59 ยังซึมต่อเนื่อง ในเชิงกลยุทธ์เรามีมุมมอง Neutral ณ ระดับราคาหุ้นปัจจุบันของ PS ที่ 28 บาท และเห็นว่าถ้าราคาหุ้นปรับขึ้นรับข่าวว่าจะมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลไปแล้ว ก็น่าหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นสำหรับผู้ลงทุนตามรอบ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]