WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"เลือกซื้อเก็งกำไรตามรอบ"

Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH

Fundamental Pick -Today: KTB (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : KKP 59%, BANPU 22%, BJC 21%, BBL 15%

Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ มีลุ้นรีบาวด์สั้นก่อนการลงต่ำต่อ


Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1390-1400 ต่ำกว่า 1370
SET50 ซื้อค่าบวก 910-920 ต่ำกว่า 890
Technical Picks- Today : KTB, PYLON, KCE, PTG, CPALL, RS, WORK, KAMART

 

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้: ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน: ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 7.92 จุดปิดที่ 1379.32 โดยมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play และท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป และการปรับขึ้นของตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากประเมินว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ และคาดว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ 1.50% ด้วย หลังดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเพิ่มขึ้นเกือบ 2% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย
การคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 16-17 ก.ย.นี้ รวมถึงกนง.ของไทยก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ด้วย ด้านจีนก็มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังตัวเลขการค้าระหว่างประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Sentiment ตลาดหุ้นในระยะสั้นมากดีขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ปรับขึ้นกว่า 2% และดัชนีตลาดหุ้นเอเชียในเช้าวันนี้เป็นบวก อย่างไรก็ตาม ยังควรระวังความผันผวนจากปัจจัยที่ไม่แน่นอน รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่อาจจะอ่อนตัวลงอีกรอบเมื่ออิหร่านส่งน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยรวมเรายังชอบหุ้น Defensive ที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศมากกว่าหุ้นในกลุ่มโภคภัณฑ์ สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อเก็งกำไรวันนี้เป็น KTB ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ โดยมีลุ้นรีบาวด์สั้นๆ ก่อนปรับลงต่ำต่อ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1390-1400 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1370 จุดให้ Wait & See หรือลดพอร์ตตาม
สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ KTB, PYLON, KCE, RS, M ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้ว สามารถถือต่อหรือหาจังหวะขายทำกำไรได้ คือ CK, SYNEX, LIVE, SOLAR, KTC, WORK

 

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ จีน: นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังข้อมูลการค้าระหว่างประเทศอ่อนแอในเดือนส.ค.58 (ลดลง 9.7%YoY ที่ 2.04 ล้านล้านหยวน หรือราว 3.208 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งลดลงรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่หดตัว 8.8%YoY ในเดือนก.ค.58 สำหรับการส่งออกเดือนส.ค.หดตัว 6.1%YoY เป็น 1.2 ล้านล้านหยวน ต่อเนื่องจากที่ลดลง 8.9%YoY ในเดือนก.ค. ส่วนนำเข้าร่วงลง 14.3%YoY มาที่ 8.361 แสนล้านหยวน หลังจากลดลง 8.6%YoY ในเดือนก.ค.
+ ตลาดหุ้นจีน: ทางการออกมาตรการลดความผันผวนในตลาด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) เตรียมเดินหน้าการปฏิรูป ปรับปรุงกรอบการทำงานด้านกฎหมาย และยกระดับการกำกับดูแลตลาด โดยอาจจะใช้กลไกต่างๆ เช่น ระบบ Circuit breaker มาใช้กับดัชนีหุ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผันผวนอย่างผิดปกติ หลังจากออกมาตรการด้านภาษีสำหรับผู้ถือหุ้นระยะสั้นและระยะยาวไปแล้ว โดยมาตรการกระตุ้นให้นักลงทุนใน A-Share ถือครองหุ้นระยะยาวเกิน 1 ปีมากขึ้น
+ สหรัฐ: คาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานไม่ได้บ่งชี้ทิศทางชัดเจน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกยังสุ่มเสี่ยงกับแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่เติบโตลดลงมากในรอบ 10 ปี
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้น คาดจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และคาดว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเดือนก.ย.นี้ โดยดัชนี DJIA ปิด +390.30 จุด หรือ +2.42%


ราคาน้ำมันดิบตลาดสหรัฐทรงตัว ส่วนตลาดลอนดอนเพิ่มขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบต.ค.ปิดลดลง 11 เซนต์ แตะที่ 45.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ปิดพุ่งขึ้น 1.89 ดอลลาร์ ที่ 49.52 ดอลลาร์/บาร์เรล


ปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมัน คือ ยอดการค้าของจีนที่หดตัวต่อเนื่องในเดือนส.ค.58 รวมถึงปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นอีกถ้าปริมาณการผลิตของอิหร่านเข้ามาในตลาดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นมากราคาน้ำมันดิบยืนอยู่ได้เพราะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนช่วยพยุงเอาไว้


ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อย โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.58 ปิดลดลง 40 เซนต์ ที่ 1,121.0 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนรอดูผลประชุมคณะกรรมการเฟดวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือทรงไว้ก่อน รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอย่างไร ในยามที่ปัจจัยในตลาดโลกผันผวน และเศรษฐกิจโลกยังคงซบเซา

 

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
สศค.คาดการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน & มาตรการช่วยเหลือรากหญ้าจะหนุนการเติบโต GDP 0.4% สำนักงบประมาณเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของปีงบประมาณ 59 หลังจากที่ 11 เดือนแรกของงบประมาณปี 58 มีการเบิกจ่ายงบลงทุนได้ไม่ถึง 60% เท่านั้น ทั้งนี้มีนโยบายให้โครงการลงทุนไม่ถึง 2 ล้านบาทต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้ เมื่อนำไปผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า 1.3 แสนล้านบาทที่ผ่านนโยบายประชานิยมเข้าไปทางกองทุนหมู่บ้านและอื่นๆแล้ว ทางสศค.คาดว่าจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ 0.4%
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เรามีมุมมองที่เป็นบวกเพิ่มขึ้นกับหุ้นในกลุ่มก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, SYNTEC), วัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น SCC, TMT) สินค้าอุปโภคบริโภคในต่างจังหวัด (หุ้นเด่น CPALL) ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ชอบแบงค์ใหญ่มากกว่าแบงค์เล็ก เพราะมีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตที่ดีกว่า (ในระยะสั้น KTB มีปัจจัยทางเทคนิคเด่นสุด โดยมีแนวต้าน 18.50-19.00 บาท)


/- การปล่อยกู้นาโนไฟแนนซ์ยังทำได้น้อยมาก โดยยอดปล่อยกู้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมายังไม่ถึง 20 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ภาระหนี้ครัวเรือนก็สุงมากอยู่แล้ว โดย MTLS มีการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้มากที่สุดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คือ 16 ล้านบาท (ประชาชาติธุรกิจ 10-13 ก.ย.58) แม้ว่า MTLS จะปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ได้มากกว่าบริษัทอื่น แต่ก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยกู้ทั้งหมดของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปคาดว่าจะมีการปล่อยกู้สินเชื่อประเภทมากขึ้น แต่ก็จะยังเป็นสัดส่วนที่เล็กในระบบ


TICON (ราคาปิด 12.10 บาท) : คาดพลิกเป็นกำไรได้ทั้งใน 3Q-4Q58 โดยใน 3Q58 จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน TFUND และใน 4Q58 มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน TREIT มูลค่าขาย 3 พันล้านบาท กำไรขั้นต้นราว 800-900 ล้านบาท โดยคาดว่า 4Q58 จะมีกำไรมากกว่า 3Q58) และกำไรที่เกิดขึ้นใน 2H58 จะทำให้ทั้งปีนี้มีกำไรในบรรทัดสุดท้ายแน่นอน (ใน 1H58 บริษัทขาดทุนสุทธิ 30 ล้านบาท) ทั้งนี้อัตราการเช่าโรงงานอยู่ในระดับต่ำที่ 50% เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น ลูกค้าบางส่วนสร้างโรงงานเอง ส่วนอัตราการเช่าคลังสินค้าอยู่ในระดับที่ดีกว่าคือ 70% สำหรับการลงทุนใหม่ ขณะนี้กำลังหาพันธมิตร 2-3 รายเพื่อพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศเวียดนาม ส่วนการลงทุนในคลังสินค้าอินโดนีเซียแห่งที่ 2 อยู่ระหว่างการหาที่ดิน ซึ่งตามแผนจะเริ่มลงทุนสร้างคลังสินค้าในปี 59 ด้านการลงทุนในประเทศเมียนมาร์เลื่อนออกไปไม่มีกำหนดเพราะราคาที่ดินแพงขึ้นมาก


ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่า ธุรกิจให้เช่าโรงงานยังจะซบเซาไปอีกระยะหนึ่งส่วนธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าก็เพียงประคองตัวไปได้ จึงยังไม่น่าจะเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งของ Core Profit ในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า เราจึงมีมุมมองที่เป็น Neutral สำหรับหุ้น TICON ในขณะนี้แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับลดลงมากว่า 50% แล้วก็ตาม ส่วนการเก็งกำไรระยะสั้นตามเทคนิค ให้ซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้น โดยมีเป้าหมายระยะสั้น 13.50 บาท ค่าลบให้ Wait & See หลุด 11.80 บาทให้ Stop Loss

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!