- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 08 September 2015 17:46
- Hits: 2090
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อเก็งกำไร...ถือต่อเมื่อ SET เหนือ 1360"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: BTS (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : THAI 32%, KTB 22%, EGCO 21%, TICON 16%, IRPC 16%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ และควรระวังการแกว่งตัว
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1380-1390 ต่ำกว่า 1360
SET50 ซื้อค่าบวก 900-910 ต่ำกว่า 880
Technical Picks- Today : KTC, LPN, SOLAR, PTG, HMPRO, WORK, APCS
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดทรงตัว โดยการเลื่อนเลือกตั้งออกไปเป็นประมาณกลางปี 60 ไม่ได้กระทบตลาดมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลทยอยออกมาก ก็เป็นที่จับตาว่าจะช่วยกระตุ้นได้แค่ไหน แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่มีปัจจัยบวกเข้ามา
ล่าสุดวันนี้ก็มีข่าวมาตรการกระตุ้นกลุ่มยานยนต์ด้วยการลดระยะเวลาถือครองรถยนต์คันแรกเหลือ 3 ปี (เดิม 5 ปี) รวมถึงอาจมีมาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนการส่งออกรถยนต์มือสอง ซึ่งเป็นข่าวดีกับบริษัทกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น SAT, STANLY, AH รวมถึงบริษัทเกี่ยวกับการประมูล เช่น AUCT ด้วย นอกจากนั้น BTS ก็มีโอกาสสูงที่จะได้บริหารเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังมีข้อสรุปว่าให้รฟม.เป็นผู้ก่อสร้างและกทม.เป็นผู้บริหารการเดินรถ สำหรับการอ่อนค่าของเงินบาท เป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มส่งออกก็จริง แต่ด้วยกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอทำให้ผลประกอบการจะยังไม่ได้เติบโตมากนัก ส่วนบริษัทที่นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบและมีหนี้ต่างประเทศมากจะเป็นลบจากการอ่อนค่าของเงินบาท เช่น THAI เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยลดความเสี่ยงของพอร์ตด้วยการถือครองหุ้นที่มี Beta ต่ำลง หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BTS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ และควรระวังการแกว่งตัว การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1380, 1390-1400 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1360 จุดให้ Wait & See หรือลดพอร์ตตาม
สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ KTC, SOLAR, WORK ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและยังสามารถถือต่อได้คือ CK, SYNEX, LIVE และที่ให้พิจารณา Take Profit เป็น AJD, BIGC, TTCL, ERW
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ ญี่ปุ่น : ตัวเลข GDP Growth ประจำ 2Q58 หดตัวน้อยลงเป็น -1.2% ดีกว่ารายงานตัวเลขเบื้องต้นในช่วงก่อนหน้านี้ที่ -1.6%
/+ สหภาพยุโรป : เกษตรกรประท้วงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยทาง EU เตรียมจัดสรรเงิน 500 ล้านยูโร (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) ในกองทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ที่ถูกกระทบจากราคาผลิตภัณฑ์นมที่ตกต่ำ และช่วยสนับสนุนการส่งออกเนื้อสุกรด้วย หลังเกษตรกรหลายพันคนรวมตัวกันประท้วงปิดถนนกลางกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาตกต่ำ คือ การที่รัสเซียประกาศห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์การเกษตรจากสหภาพยุโรป เพื่อตอบโต้การที่ EU คว่ำบาตรรัสเซียที่เข้าแทรกแซงสถานการณ์ในยูเครน
+ จีน : ออกมาตรการด้านภาษีหนุนให้นักลงทุนถือหุ้นระยะยาวเกิน 1 ปีขึ้นไป เพื่อลดความผันผวนของตลาด คณะมนตรีจีนได้ออกมาตรการใหม่ คือ นักลงทุนที่ถือครองหุ้น A-Share เป็นเวลา 1 ปีขึ้นไป จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 8 ก.ย.58 ส่วนนักลงทุนที่ถือครองหุ้นน้อยกว่า 1 เดือนจะถูกเรียกเก็บภาษีเงินปันผลเต็มที่ นักลงทุนที่ถือครองมากกว่า 1 เดือนแต่ไม่เกิน 1 ปีถูกเรียกเก็บภาษีเงินปันผลครึ่งหนึ่ง นอกจากนั้นนักลงทุนที่ถือครองหุ้นต่ำกว่า 1 ปีต้องนำกำไรไปคำนวณในการเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา 20% ด้วย
ตลาดหุ้นและโภคภัณฑ์สหรัฐปิดทำการ เนื่องในวันแรงงาน
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/+ ตลาดหุ้นไทย: ต่างชาติลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยไปมาก โดยยอดขายสะสมของนักลงทุนต่างชาติในช่วง YTD อยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท และยอดขายสุทธิสะสมของต่างชาติในช่วงม.ค.56-ปัจจุบัน (สะสม 31 เดือนย้อนหลัง) เท่ากับ 3.21 แสนล้านบาท และยอดขายสุทธิสะสมตั้งแต่ม.ค.49-ปัจจุบัน (สะสมเกือบ 10 ปี) อยู่ที่ 1.53 แสนล้านบาท สำหรับกลุ่มที่มีการซื้อสุทธิสะสมในช่วงม.ค.49-ปัจจุบัน โดยหลัก คือ สถาบันในประเทศซึ่งมียอดซื้อสุทธิสะสมราว 2 แสนล้านบาท
/- เงินบาทอ่อนทะลุ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเช้านี้อยู่ที่ 36.16 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลง 7%QTD และอ่อนลง 10%YTD โดยมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินลงทุนต่างชาติไหลออกหลังขายสุทธิหุ้นมาตลอด YTD ทั้งนี้เฟดจะมีการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ประชุมวันที่ 16 ก.ย.นี้ ซึ่งบางกระแสหนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกรอบ แต่บางกระแสมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยก็ช่วยได้ไม่มาก ควรเน้นการกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนก่อน
สำหรับหุ้นในกลุ่มส่งออก เราเห็นว่าจะยังมีผลประกอบการกระเตื้องขึ้นไม่มากใน 3Q58 เมื่อเทียบ QoQ เพราะกำลังซื้อในตลาดโลกซบเซา ลูกค้ามีการต่อรองราคาสินค้าลง แต่ถือว่ายังดีที่ค่าเงินบาทอ่อนมาช่วยหนุนรายได้และมาร์จิ้นที่แปลงเป็นรูปบาท
ส่วนบริษัทที่จะได้รับผลกระทบทางลบ คือ บริษัทที่นำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศที่ไม่ได้ทำประกันความเสี่ยง และบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก เช่น THAI เป็นต้น
/+ มาตรการกระตุ้นกลุ่มยานยนต์ : กระทรวงการคลังจะเสนอครม.ให้พิจารณาเรื่องการลดระยะเวลาถือครองรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกเหลือ 3 ปี จากเดิม 5 ปี และออกมาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนการส่งออกรถยนต์มือสอง ประเมินกันว่าจะช่วยปลดล็อครถมือสองออกไปได้ 1.1 ล้านคัน และกระตุ้นกำลังซื้อรอบใหม่ หุ้นที่จะได้รับผลดี คือ บริษัทที่เกี่ยวกับการประมูลรถยนต์ เช่น AUCT เป็นต้น และบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งหุ้นเด่น คือ SAT, STANLY และ AH
+ BTS : คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการที่กทม.ได้รับโอนบริหารเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพราะเส้นทางเป็นส่วนที่มาเชื่อมต่อกับเส้นปัจจุบันของ BTS อยู่ ทำให้มีโอกาสสูงที่ BTS จะได้งานบริหารเดินรถในส่วนนี้เข้ามาเพิ่ม สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังเป็นของรฟม.
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ BTS (ราคาปิด 9.65 บาท, ราคาพื้นฐาน 10.40 บาท) โดยมองว่าบริษัทยังจ่ายปันผลสูงด้วย Dividend Yield 6.9% ได้ และการได้งานบริหารเดินรถเข้ามาเพิ่มก็เป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นได้เป็นอย่างดี ส่วนในระยะยาว คือ ปี 60-61 ก็จะรับรู้รายได้และกำไรจากธุรกิจร่วมทุนคอนโดมิเนียมที่ทำร่วมกับ SIRI
- NOBLE : ประกาศคืนเงินจองโครงการคอนโด เรียล แจ้งวัฒนะ หลังเปิดขายมาตั้งแต่ 14 ต.ค.57 จนถึงปัจจุบัน มียอดขาย Presale เพียง 40% ซึ่งช้ามาก และบริษัทต้องปรับความสูงของคอนโดจาก 34 ชั้นเหลือ 31 ชั้น ทำให้จำนวนยูนิตขายน้อยลง เพราะติดกฎการบิน บริษัทจึงตัดสินใจยุติโครงการนี้
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]