- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 September 2015 17:15
- Hits: 4974
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ"
Stock Picks-Sep 2015 : Fundamental : CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
Fundamental Pick -Today: PYLON (ดูรายละเอียดหน้าได้ในหน้า 2)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SNC, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, DIF
Shot Sell-Prev : BJC 21%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวก แต่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นลบ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1390-1400 ต่ำกว่า 1360
SET50 ซื้อค่าบวก 910-920 ต่ำกว่า 880
Technical Picks- Today : STEC, S, SYNTEC, TPIPL, VIBHA, APCS, LIVE, ASIMAR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดปรับขึ้น 11.03 จุดที่ 1383.48 โดยเป็นการปรับขึ้นตามตลาดภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้จำกัดเพราะนักลงทุนรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ที่จะประกาศคืนวันศุกร์นี้ (เวลาไทย) ซึ่งมีผลการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเฟด อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจของ Bloomberg พบว่าโอกาสที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้มีราว 1 ใน 3 และโอกาสที่จะปรับขึ้นในเดือนธ.ค.มีมากกว่าครึ่งหนึ่ง นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกรอบ
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีเกินคาด (รวมถึง PMI ภาคบริการที่แข็งแกร่ง) และ ECB พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนโยกกลับเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ก็ระมัดระวังสูง และพร้อมกลับมายังสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น เงินสด, ทองคำ โดยเร็วหากมีสัญญาณที่ไม่ดี ซึ่งในช่วงเดือนก.ย.นี้เห็นว่าปัจจัยภายนอกยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะจากเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟด โดยหากเริ่มปรับขึ้นในการประชุมเดือนก.ย.ก็กดดันตลาด แต่ถ้าไม่ปรับขึ้นก็กังวลต่อไปว่าแล้วเดือนต.ค.หรือธ.ค.จะปรับขึ้นหรือไม่ แล้วความหนักเบาในการปรับขึ้นจะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นยังมีความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกด้วย ส่วนปัจจัยภายใน รัฐบาลกำลังเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อย และกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือ SME เพิ่มเติม เป็นลำดับต่อไป ซึ่งเป็นบวกกับกลุ่ม Domestic Play สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น PYLON
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ก็พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1390-1400, 1420 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1360 จุดให้ Wait & See หรือลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ CK, STEC, SYNEX, LIVE, ASIMAR, S, TPIPL, VIBHA ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้ว และยังสามารถถือต่อได้คือ CPALL, AJD แต่ KKC และ BA ได้หลุด List แล้ว
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : การขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 7.4%MoM ในเดือนก.ค.58 สู่ระดับ 4.186 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งดีกว่าคาด โดยได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศสำหรับรถยนต์และสินค้าด้านอุตสาหกรรมของสหรัฐ
+ สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนส.ค.58 ปรับขึ้นเป็น 56.1 (สูงสุดนับตั้งแต่พ.ค.58) และดีกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 55.2 และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
สหรัฐ : ตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแกร่งก็กังวลเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ตัวเลขเศรษฐกิจทั้ง GDP ใน 2Q58 ที่เติบโตสูงถึง 3.7% และตัวเลขการบริโภค และภาคบริการที่ดีเกินคาด สร้างความกังวลกับตลาดเล็กๆ เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ที่จะออกมา ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2 แสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานลดลงเป็น 5.2% จาก 5.3% ในเดือนก.ค.ซึ่งต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี
+ ยูโรโซน : ECB ยืนยันความพร้อมที่จะอัดฉีดเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า ECB พร้อมที่จะเพิ่มการอัดฉีดเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.1 ล้านล้านยูโร (1.2 ล้านล้านดอลลาร์) เพื่อกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อให้ฟื้นตัวจากระดับต่ำไปสู่เป้าหมายที่ระดับใกล้ 2% และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้นให้มีความต่อเนื่อง ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงไว้ที่ 0.05% ในการประชุมครั้งนี้ และ ECB ยังได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ -0.2%
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดในกรอบแคบ โดยดัชนี DJIA ปิด +23.38 จุด แม้ว่าตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนก.ค.จะลดลงมากกว่าคาดเนื่องจากการส่งออกรถยนต์และสินค้าอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง แต่ตลาดก็ยังระมัดระวังก่อนตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.จะเปิดเผยออกมา
ราคาน้ำมันดิบทรงๆ โดยสัญญา WTI ปิด +50 เซนต์ แตะที่ 46.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ปิด +18 เซนต์ ที่ 50.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.ปิดปรับลง 9.10 ดอลลาร์ ที่ 1,124.5 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี และ ECB พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.58 ลดลงเป็น 72.3 จาก 73.4 ในเดือนก.ค.58 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 15 เดือน นับตั้งแต่มิ.ย.57 ส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในเดือนที่เหลือของปีนี้ ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบรุนแรง + สัปดาห์หน้าทีมเศรษฐกิจใหม่จะเสนอมาตรการด้านภาษีและการเงินช่วยเหลือ SME โดยหลังจากที่นายกรัฐมนตรีให้มีการทำบัญชี SME ในประเทศไทย 2.7 ล้านรายทั่วประเทศแล้ว ทางทีมเศรษฐกิจก็เตรียมออกมแพจเกจช่วยเหลือ โดยในด้านการคลังจะพิจารณาเรื่องการยกเว้นภาษีเพื่อดึง SME เข้าระบบ พร้อมทั้งจะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินด้วย ซึ่งมาตรการในส่วนนี้ประเมินกันในเบื้องต้นว่าจะมีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : นับว่าเป็นการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีกับตลาด หลังจากที่ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อยระยะเวลา 3 เดือนไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาท (คิดเป็น 1% ของ GDP ไทย) ก็กระตุ้นให้โครงการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กเบิกจ่ายงบประมาณและเดินหน้าให้เร็วขึ้น และกำลังจะออกมาตรการช่วยเหลือ SME ตามมา ใน Step ต่อไป ก็มีความคาดหวังว่าอาจจะมีมาตรการกระตุ้นในส่วนอื่นๆ ต่อ ซึ่งทางด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก็มีกระแสการขอให้ลดค่าธรรมเนียมและภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น แต่ทางรัฐบาลยังไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องนี้ จากตัวเลขการบริโภคและการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกระเตื้องขึ้นตั้งแต่ 2Q58 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน 2 ไตรมาสก่อนหน้า (ตัวเลขบ่งชี้ว่า...การใช้จ่ายผู้บริโภคและภาครัฐไม่ได้สูงขึ้นเมื่อเทียบ YoY แต่ก็ไม่ได้แย่มากอย่างที่วิตกกังวลและกระเตื้องจากระดับต่ำสุดในช่วง 4Q57 และ 1Q58) ซึ่งมาตรการกระตุ้นที่ออกมาในปลายส.ค.-ก.ย.58 ก็จะช่วยให้สิ่งเหล่านี้มีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นในเดือนพ.ย.58 ก็จะมีการเปิดประมูล 4G ซึ่งจะสร้าง Sentiment ที่ดีกับกลุ่มสื่อสารและผู้รับเหมาวางระบบไอซีทีต่างๆ ด้วย
กลยุทธ์การลงทุน : ในเดือนก.ย.58 ทาง Retail Research ให้น้ำหนักการลงทุนกับหุ้นที่เป็น Domestic Play เป็นหลัก เพราะเห็นว่ามีปัจจัยบวกกระตุ้นหลายเรื่อง ส่วนกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศและเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และราคาน้ำมันที่ผันผวน หุ้น Top Picks เดือนก.ย.ของเราเป็น CK, INTUCH, KBANK, QH, RATCH
PYLON : ผู้บริหารมั่นใจว่าปี 58 จะมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยประเมินว่าจะขยายตัว 10-15% เป็น 216-225 ล้านบาท จากปี 57 ที่มีกำไรสุทธิ 196 ล้านบาท ซึ่งกำไรสุทธิ 1H58 บริษัทกำไรสุทธิไปแล้ว 122 ล้านบาท (จากการรับรู้รายได้ 701 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.4%) ซึ่งเป็นประมาณ 55% ของคาดการณ์ทั้งปี 58 ทำให้มีโอกาสสูงที่บริษัทจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้านมูลค่างานในมือ (Backlog Order) ณ สิ้นมิ.ย.58 อยู่ที่ 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 80% ที่เหลืออีก 20% รับรู้ในปี 59 บริษัทคาดว่าในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะได้งานใหม่เข้ามาเพิ่มอีก ปัจจุบัน PYLON ได้ยื่นประมูลงานใหม่ไปแล้ว 1 พันล้านบาท โอกาสที่จะได้รับงานอยู่ที่ 30% หรือราว 300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มูลค่างานในมืออยู่ในระดับที่รองรับรายได้ประมาณ 2 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับระยะเวลา (Duration) ของงานขุดเจาะเสาเข็ม
สำหรับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ทางบริษัทกำลังเล็งหาโอกาสนั้นอยู่ แต่การลงทุนต้องศึกษาอย่างรอบคอบและต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคคลากร & เทคโนโลยี พร้อมทั้งต้องมีพันธมิตรในประเทศนั้นๆ จึงจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราเห็นด้วยกับบริษัทในส่วนนี้ว่ายังไม่ต้องถึงกับรีบเร่งมาก เนื่องจากเส้นทางการเติบโตของภูมิภาคนี้โดยเฉพาะใน CLMV ยังมีอีกหลายปี ในเชิงกลยุทธ์ เห็นว่าหลังจากราคาหุ้นได้ปรับฐานลงมาแล้ว 30% จากระดับสูงสุด ก็เป็นจังหวะในการซื้อลงทุน หากให้ P/E เป้าหมายระยะ 1 ปีข้างหน้าที่ 15 เท่า ราคาเป้าหมายจะเป็น 13.50 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]