- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 01 September 2015 18:03
- Hits: 2322
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หลังการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลงหลังการประกาศงบ 2Q58 ขณะที่ระดับค่า PER เป้าหมายคงไว้ที่ 15.5 เท่าตามเดิม จะให้ระดับดัชนีเป้าหมายที่ 1390 จุด เหลือ Upside จำกัด การเลือกหุ้นจึงต้องพิถีพิถันมากขึ้น วันนี้ยังคงเลือก PTT (FV@B360) เป็น Top pick
บนประมาณการใหม่เป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,390 จุด
ผลประกอบการ 1H58 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 4.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% YoY คิดเป็นสัดส่วน 49.7% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2558 ซึ่งคาดว่าจะมีกำไร 8.88 แสนล้านบาท โดยภาพรวมถือได้ว่าเป็นผลประกอบการที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาพิจารณาถึงแนวโน้มในงวด 2H58 มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหลายเหตุการณ์
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้ากว่าที่คาด เนื่องจากขาดแรงขับเคลื่อนทั้งในส่วนของ การบริโภคภาคครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก ผลดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคสถาบันการเงินในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ และ อัตราการเติบโตของสินเชื่อ
2. การอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับสูงกว่า 35.70 บาท/USD และทำให้ค่าเฉลี่ยจากช่วงต้นปี 2558 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 33.39 บาท/USD ขณะที่สมมุติฐานเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 33 บาท/USD ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนเป็น 34 บาท/USD ในปี 2558 และเป็น 35 บาท/USD ในปี 2559
3. ราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างรวดเร็วโดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ 42.26 เหรียญฯ/บาร์เรล (24 ส.ค.2558) และทำให้ค่าเฉลี่ยจากต้นปีจนถึงปัจจุบันลงมาอยู่ที่ 55.48 เหรียญฯ ภายใต้ความเชื่อว่าทิศทางของราคาน้ำมันน่าจะยังทรงตัวที่ระดับต่ำต่อเนื่องในช่วง 2H58 ทำให้สมมุติฐานที่ฝ่ายวิจัยกำหนดให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2558 ที่ระดับ 63 เหรียญฯ/บาร์เรล ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงต้องปรับลดสมมุติฐานราคาน้ำมันลงมาอยู่ที่ 53 เหรียญฯ/บาร์เรล ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับปรุงประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งหลังการปรับประมาณการ คาดกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 2558
คาดว่าจะอยู่ที่ 8.36 แสนล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 5.25 หมื่นล้านบาท หรือ 6.0% ส่วน EPS ของบริษัทจดทะเบียนปี 2558 ปรับลดลงจากระดับ 95.49 บาท/หุ้น ลดลงเหลือ 89.63 บาท/หุ้น ลดลง 6.14% ทั้งนี้การปรับประมาณการในรอบนี้ถือเป็นการปรับลดครั้งที่ 2 ของปี 2558 รวมการปรับลดประมาณการทั้ง 2 รอบ พบว่าประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปี 2558 ถูกปรับลดลงมาแล้วรวม 12.94% ภายใต้ประมาณการที่ปรับปรุงดังกล่าวทำให้เป้าหมาย SET index ต้องปรับเปลี่ยนตาม โดยฝ่ายวิจัยคงระดับ PER ที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 2558 ไว้ที่ระดับเดิมคือ 15.50 เท่า ซึ่งจะให้ระดับ SET Index เป้าหมายที่ระดับ 1390 จุด ซึ่งหมายความว่า Upside อยู่ค่อนข้างจำกัด การเลือกหุ้นเข้าพอร์ตนักลงทุนจึงต้องพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ โดยควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก
ความกังวลเศรษฐกิจจีน คาด Fed จะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนี ชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เริ่มจากสัปดาห์ที่แล้วมีการรายงาน GDP Growth งวด 2Q58 เติบโตอยู่ที่ระดับ 2.7%yoy สูงกว่าผลสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์ที่ระดับ 2.5%yoy เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน สะท้อนจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกรายสัปดาห์ สิ้นสุด 22 ส.ค.อยู่ที่ 2.71 แสนราย ลดลง 6 พันรายจากครั้งก่อนหน้า (ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ และยังเป็นระดับต่ำกว่า 300,000 รายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 24) บ่งชี้ถึงสัญญาณที่แข็งแกร่งในภาคแรงงาน ทำให้อัตราการว่างงานอาจมีแนวโน้มที่ลดลงจาก 5.3% ด้านผู้บริโภคก็เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน จากตัวเลขรายได้ และการใช้จ่ายของครัวเรือนประจำเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.4% และ 0.3% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.1% นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันภายนอกจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวต่ำกว่าคาด หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนได้เพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% พร้อมกับลด RRR ลงอีก 0.5% ทำให้ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงจะเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลัง จากเหตุผลข้างต้นดังที่กล่าวทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed น่าจะไม่เร่งรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าการประชุมในวันที่ 16-17ก.ย. นี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สอดคล้องกับที่นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธาน Fed สาขานิวยอร์กซึ่งให้ความเห็นในการประชุมที่แจ็คสันโฮลเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วว่า ยังกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยยังมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วสุดในปลายปี คือ 15-16 ธ.ค. 2558 หรืออาจเป็นต้นปี 2559
เช่นเดียวกับอังกฤษ โดยในการประชุมธนาคารกลาง BOE ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9-10 ก.ย.นี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.5 เท่าเดิม (ต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2552) ซึ่งสาเหตุมาจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ (ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. อยู่ที่ระดับ 0.1%) โดยคาดว่าแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นต้นปี2559 เช่นเดียวกับสหรัฐ
ราคาน้ำมันดีดตัวใกล้ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดีต่อหุ้นน้ำมัน
ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันดูไบ ยังคงทรงตัวได้ที่บริเวณ 48 เหรียญฯต่อบาร์เรล นับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นรวมกว่า 10% ในรอบสัปดาห์ เช่นเดียวกันมันดิบ WTI และ Brent ที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน แสดงถึงแนวโน้มราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากราคาน้ำมันที่ระดับราคานี้ยังคงต่ำมากเมื่อเทียบกับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale oil และ shale gas) จึงคาดว่าจะยังคงกดดันให้ผู้ผลิตและสำรวจน้ำมันบางแห่งที่มีต้นทุนการผลิตที่แพง ต้องออกไปจากตลาด นอกจากนี้ OPEC ยังได้ปรับกลยุทธ์ตลาดใหม่ ด้วยการคงปริมาณการผลิตไว้ที่ระดับเดิม แทนที่จะปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตดังในอดีต เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ต่ำเกินไป แต่จากสถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น เชื่อว่าราคาน้ำมันได้ลงมาทำจุดต่ำสุดแล้วสถานการณ์นี้จึงน่าจะดีต่อหุ้นน้ำมันอย่าง PTT และ PTTEP ที่ราคาลงมาต่ำเกินไป สะท้อนข่าวร้ายต่างๆ ไประดับหนึ่งแล้ว จึงยังแนะนำสะสม PTT (FV@B 360) และเลือกเป็น Top pick
ใช้ ASP Smart เลือกหุ้นปันผลที่โดดเด่น
ใน Application ASP Smart มี Function การใช้งานที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นสำหรับการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเรียกว่า Stock Screening โดยใน Function นี้นักลงทุนสามารถที่จะกำหนดเงื่อนไขของหุ้นที่ต้องการได้มากถึง 5 เงื่อนไข ซึ่งภายใต้สถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน หุ้นที่มีคุณสมบัติน่าสนใจประการหนึ่งได้แก่ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ฝ่ายวิจัยจึงได้คัดกรองหุ้นสำหรับนักลงทุนประเภท Dividend Lover โดยกำหนด 4 เงื่อนไขหลักของหุ้นที่จะเลือกเข้าพอร์ตคือ 1) กำหนดให้มี Dividend Yield สำหรับงวดปี 2558 สูงกว่า 5% 2)กำหนดให้มีค่า Beta ต่ำกว่า 1 เพื่อลดความผันผวนของราคาหุ้น 3) ต้องเป็นหุ้นที่มี Upside จาก Fair Value มากกว่า 15% และ 4) ต้องเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้คำแนะนำ ซื้อ ซึ่งหุ้นที่เข้าเกณฑ์ครบทั้ง 4 ข้อ มีหลายตัวที่น่าสนใจ เช่น ASK , TMT , BTS, INTUCH, ADVANC, AIT และ SNC เป็นต้น ทั้งนี้นักลงทุนสามารถกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่ต้องการได้ ผ่าน ASP Smart
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 17 วัน
วันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นครั้งแรกเล็กน้อยราว 12 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 17 วัน) แต่เป็นการซื้อสุทธิอยู่ประเทศเดียว คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 119 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 48 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 17) ตามมาด้วยอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 10 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 18) และฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 15 ล้านเหรียญ(ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 15) ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิราว 34 ล้านเหรียญ หรือ 1,225 ล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกัน 9 วัน โดยมียอดขายสะสมสุทธิรวม 3.4 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 3,928 ล้านบาท ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 16,475 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 445 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.86 บาท/ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : ภราดร เตียรณปราโมทย์