- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 August 2015 16:48
- Hits: 853
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ตลาดอยู่ระหว่างการย่อยข้อมูลการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของจีน แต่เชื่อว่าน่าจะหนุนตลาดหุ้นเอเซียระยะสั้น โดยคาด SET มีโอกาสทดสอบ 1,330 จุด ยังแนะถือ BTS(FV@B12), TFUND([email protected]) วันนี้เลือก WORK(FV@B45) เป็น Top Pick เพราะกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเป็นผู้ประกอบการ TV Digital ที่มีศักยภาพมากสุด
ตลาดหุ้นเอเซียเริ่มฟื้นบ้าง ยกเว้นจีน และฮ่องกง
ดูเหมือนตลาดหุ้นโลกยังอยู่ระหว่างการย่อยข้อมูล ทำให้ตลาดหุ้นโลกไม่ตอบสนองด้านบวกต่อ การที่รัฐบาลจีนได้กลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายในครั้งนี้มากนัก หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (เงินกู้ระยะ 1 ปี) ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% นับเป็นการปรับลดลงครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2557 และลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% มาอยู่ที่ 18% (เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้) ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายตลาดในเอเซีย พบว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นบ้าง แม้จะไม่มากนัก ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง ที่ยังคงปรับฐานต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนยังมีความเห็นที่แตกแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก ยังคงกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัว ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกผ่อนคลายลง และเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนอย่างจริงจัง
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี VS. อัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR)
อย่างไรก็ตาม วานนี้ ธนาคารกลางจีน หรือ PBOC ได้มีการอัดฉีดเงินเพิ่มเติม เข้าสู่ตลาดเงินอีกกว่า 1.4 แสนล้านหยวน หรือราว 2.18 หมื่นล้านเหรียญฯ ผ่านเข้าสู่ตลาดเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ (Interbank Market) ด้วยปล่อยสินเชื่อระยะสั้น 6 วัน (short-term liquidity operation : SLO) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.3% ซึ่งการใช้ SLO นี้ ธนาคารกลางจีนเคยใช้มาแล้วเมื่อปี 2556 ควบคู่กับการใช้นโยบายการเงินอื่น ช่วยลดความผันผวนและแก้สร้างเสถียรภาพด้านต้นทุนทางการเงินให้แก่ธนาคารพาณิชย์จีน โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถเสริมสร้างสภาพคล่องให้แก่ระบบธนาคารได้ภายใน 1-3 วันข้างหน้านี้ และน่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเซียรวมถึงไทย หากพิจารณาค่า Expected PER ณ สิ้นปี 2558 ปัจจุบันจะพบว่าอยู่ในระดับไม่แพงนัก กล่าวคือ ตลาดหุ้นจีน อยู่ที่ 12.1 เท่า ตามมาด้วยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 13.7 เท่า ไทย 14.7 เท่า มาเลเซีย 14.9 เท่า อินเดีย 15.6 เท่า (ยกเว้น ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ที่ยังมี PER สูงคือ 18.3 เท่า) เทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ญี่ปุ่น และ สหรัฐ ที่มีค่า PER สูงถึง 17.6 และ 16.4 เท่า ตามลำดับ
แนวโน้ม Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปปีหน้ามีสูงขึ้น
จากผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และอาจจะเป็นปัจจัยบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณที่ขัดแย้งกัน ทำให้เชื่อว่าแนวทางในการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed น่าจะถูกเลื่อนออกไปเป็นปลายปีนี้ หรือไม่ก็ปีหน้า สะท้อนได้จากนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธาน Fed สาขานิวยอร์กกล่าวในการประชุมที่แจ็คสันโฮลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่16-17 ก.ย. ที่จะถึงในเดือนหน้านี้ว่า มีความน่าสนใจน้อยลงที่จะเกิดขึ้น โดยยังกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน และมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วสุดในปลายปีนี้ หากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังเป็นไปตามตลาดคาด นับว่าสอดคล้องกับ ASPS ซึ่งคาดว่า Fed น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดคือ ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้คือ 15-16 ธ.ค. 2558 หรือไม่ต้นปี 2559 และวันนี้จะต้องติดตามการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐ 2Q58 ครั้งที่ 2 ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 0.8%QoQ และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกรายสัปดาห์ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่ายังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลก
ต่างชาติขายหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 16
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 1,054 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 16) โดยเป็นการขายสุทธิทั้ง 5 ประเทศคือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 537 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 15) รองลงมาคือไต้หวันถูกขายสุทธิราว 277 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิได้เพียงวันเดียว) ตามมาด้วยอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 16) และฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิราว 77 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 13) ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิราว 125 ล้านเหรียญ หรือ 4,443 ล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกัน 7 วัน โดยมียอดขายสะสมสุทธิรวม 3.1 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 5,421 ล้านบาท
ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 5,968 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 2,898 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพบว่าค่าเงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่า โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.61 บาท/ดอลลาร์
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
เน้นเลือกหุ้นกระทบจากปัจจัยรอบด้านน้อย : WORK, EASTW, TFUND
การที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานเกือบ 20% นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน น่าจะสะท้อนข่าวร้ายไปค่อนข้างมาก เช่น ผลกำไรตลาดในปีนี้จะไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย สะท้อนจากที่ ASPS ได้ปรับลดประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมในปีนี้ 2 ครั้งราว 12% สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำกลยุทธ์การลงทุน สะสมหุ้นพื้นฐาน ซึ่งกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวจำกัด เช่นหุ้นที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง คือ
หุ้นสาธารณูปโภค (โรงไฟฟ้า ประปา) ล้วนมีรายได้ค่อนข้างมั่นคง ได้แก่ EASTW (FV@B14) beta ต่ำเพียง 0.50 และ PER เพียง 14 เท่า คาดหวัง Div.Yield ราว 4.2%, TTW ([email protected]) beta ต่ำเพียง 0.46 และ PER 14.9 เท่า คาดหวัง Div.Yield ถึง 5.9%, EGCO (FV@B184) beta ต่ำเพียง 0.27 และ PER เพียง 10.6 เท่า Div.Yield ราว 4.1%
หุ้นเติบโตแรงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่ SCC (FV@B 580) EPS Growth ปีนี้กว่า 40% และปีหน้าเติบโต 8%, WORK (FV@B 45) EPS Growth ปีนี้เติบโตถึงกว่า 7 เท่า และปีหน้าเติบโต ถึง 73%, และ THCOM(FV@BCC) EPS Growth ปีนี้เติบโต 30% และปีหน้าเติบโต 12%
หุ้น Dividend Yield สูง ได้แก่ INTUCH (FV@B113) Div.Yield 7%, ADVANC (FV@B 285) Div.Yield 6.2%, BTS (FV@B12) Div.Yield 7.2%
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกอง REIT สำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ได้แก่ TFUND([email protected])
WORK เป็นผู้ประกอบการ TV Digital ที่มีศักยภาพมากสุด
จากการเข้าพบผู้บริหารวานนี้ เป็นการตอกย้ำว่า WORK เป็นผู้ประกอบการ TV Digital ที่มีศักยภาพมากสุด สะท้อนจาก เรทติ้งผู้ชมช่อง WORKPOINT TV เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 0.84 และ 0.88 ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. 2558 ขึ้นมาอยู่ที่ 1.02 ในกลางเดือน ส.ค. นี้แล้ว ขณะที่รายได้ค่าโฆษณาสามารถขยับขึ้นจาก 3.3 หมื่นบาทต่อนาทีในงวด 2Q58 เป็น 3.6 หมื่นบาทในงวด 3Q58 ด้วยอัตราการใช้เวลาโฆษณา (Utilisation rate) ที่ขยับขึ้นจาก 80% ในงวด 2Q58 เป็น 85-90% ทำให้รายได้ค่าโฆษณาขยับขึ้นมา ชดเชยรายได้จากธุรกิจอีเว้นต์ และโรคละครที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในงวด 3Q58 โดยรวมจึงทำให้เชื่อว่ากำไรงวด 3Q58 จะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากงวด 2Q58 และเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่งวด 4Q58 เรทติ้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากแผนนำรายการใหม่ สุดยอดมวยไทย (บัวขาว) เข้าสู่ผังรายการ และมีละครไทยเพิ่มอีก 1 เรื่อง ช่วยให้รายได้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีขยับขึ้นได้ 3-5% บวกกับรายได้จากธุรกิจอีเว้นต์และโรงละครคาดว่าจะฟื้นตัวจากงวด 3Q58 หนุนได้รายได้รวมเพิ่มขึ้นจากงวด 3Q58 อย่างไรก็ตาม ในด้านกำไร คาดจะอ่อนตัวจากงวด 3Q58 เพราะมีการบันทึกโบนัสจ่ายครั้งเดียวในไตรมาส 4 เช่นทุกปี ด้วยผลดังกล่าว ฝ่ายวิจัยยังยึดหลักอนุรักษ์นิยมคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2558 ไว้ตามเดิมที่ 243 ล้านบาท ขณะที่กำไรต่อหุ้นในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 7.3 เท่าตัวจากปีก่อนหน้า และคาดจะเติบโตสูงถึง 72% ในปีหน้า ภายใต้สมมติฐานค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีทั้งปี 59 ที่ 3.8 หมื่นบาทต่อนาที (ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ที่ใกล้ 5 หมื่นบาทต่อนาที) ด้วยผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตกระโดดในระยะ 5 ปีนี้ตามเรทติ้งที่พุ่งต่อเนื่อง ขณะที่อัตราค่าโฆษณาของช่องที่ยังต่ำมาก ทำให้มีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในระดับสูง จึงแนะนำ “ซื้อลงทุน” และเลือกเป็น Top Pick กลุ่ม โดยมีมูลค่าพื้นฐานปี 2558 ที่ 45 บาท
หุ้นที่แนะนำใน Market talk