- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 26 August 2015 17:36
- Hits: 2101
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ยังผันผวน"
Stock Picks-Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: RATCH
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, SNC, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : TTCL, 47%, ESSO 37%, ANAN 21%, M 16%, TUF 15%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่พร้อมเปลี่ยนเป็นลบได้อีก
Support Resistance Stop loss
SET 1280-1250 1330, 1350 ต่ำกว่า 1300
SET50 820-800 870-880 ต่ำกว่า 850
Technical Picks- Today : STEC, KTB, UNIQ, RATCH, GLOBAL, MINT, HMPRO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยรีบาวด์จากภาวะขายมากเกินไป ปิดตลาด +22.82 จุดที่ 1323.88 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวัน นำโดยกลุ่มพลังงาน, แบงค์, ท่องเที่ยว ซึ่งหากมีการบวกต่อในวันนี้ก็ถือลุ้นแนวต้านถัดไปที่ 1340-1350 จุด แต่ถ้าเป็นลบก็ให้ลดพอร์ต/Take Profit รอบสั้นไปก่อน
นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย (เมื่อวานนี้ขายสุทธิ 3.3 พันล้านบาท และยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิไปแล้ว 80.5 พันล้านบาท) เพราะประเมินว่าตลาดยังมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัยที่กดดันให้กำไรของแต่ละตลาดมี Downside risk มากกว่า Upside risk นั่นหมายถึง P/E ของตลาดที่ลดลงไม่มากและยังดูแพงแม้ว่าดัชนีจะปรับลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เป็นเช่นนั้น โดยช่วงที่ดัชนี 1600 จุด ช่วงนั้นมี Forward P/E 16.8 เท่า (EPS-58F = 95.5) เมื่อดัชนีลงมาเป็น 1450 จุด Forward P/E อยู่ที่ 16.0 เท่า (โดยมีการปรับลดประมาณการ EPS ลงมาด้วยเป็น 90.7) และดัชนีระดับปัจจุบัน 1320 จุด มี Forward P/E เท่ากับ 15.4 เท่า (มีการปรับลดประมาณการ EPS สะท้อนราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอีกรอบเป็น 85.7) ซึ่งสูงกว่าค่า P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของ SET ที่ 15 เท่าอยู่เล็กน้อย (ถ้าที่ระดับ P/E เฉลี่ย 15 เท่า ดัชนีปีนี้จะเป็น 1280 จุด) กลยุทธ์ : การเก็งกำไรรอบสั้นไม่ควรหวัง Gap กำไรมาก (ซื้อจังหวะลงแรงและขายจังหวะเด้ง) ส่วนการลงทุนระยะยาว หลังจากที่เราแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นและถือเงินสดมากขึ้นไปแล้ว (ซึ่งก็แล้วแต่ความสามารถของพอร์ตว่าจะกลับมาถือเงินสดได้มากแค่ไหน) ก็ให้ถอยรับเป็น Step (ไม่เน้นการซื้อครั้งเดียวจบ) สำหรับหุ้นที่คงค้างอยู่ในพอร์ต เน้น Domestic Play ที่เป็น Defensive & ปันผลสูง
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่สามารถพลิกเป็นลบได้อีก การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1330-1340, 1350 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1300 จุด จะแนวรับถัดไป 1280-1250, 1200 จุด สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรระยะสั้น คือ KTB, GLOBAL, STEC, HMPRO, RATCH เป็นต้น
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบจากแรงเทขายในช่วงท้าย ทั้งนี้ในช่วงแรกดัชนีปรับขึ้นไปสูงสุดในวันที่ +441.59 รับข่าวธนาคารจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยและ RRR เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น แต่นักลงทุนก็ยังไม่วางใจจึงขายหุ้นออกมาก่อนปิดตลาด ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 204.91 จุด (-1.29%) ส่วน VIX ลดลงมาที่ 36.02 จากวันก่อนหน้าที่ 40.74 แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 25 อย่างมีนัยสำคัญ
+/ จีน : ธนาคารกลางประกาศลดดอกเบี้ยและ RRR โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 4.6% มีผลบังคับใช้ 26 ส.ค.58 และประกาศลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% มีผลบังคับใช้ 6 ก.ย.58 เป้าหมายคือการบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
สหรัฐ : PMI ภาคบริการลดลงเล็กน้อย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นภาคบริการลดสู่ระดับ 55.2 ในเดือนส.ค.58 จาก 55.7 ในเดือนก.ค.58 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 56.0
สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.58 เพิ่ม 5.4%MoM สู่ระดับ 507,000 ยูนิต แต่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 510,000 ยูนิต
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคส.ค.58 เพิ่มขึ้นดี ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 91.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นเดือนส.ค.ออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 93.8
- สหรัฐ : สภาคองเกรสปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 58 ลงเป็น 2% สำนักงานงบประมาณประจำสภาคองเกรส (CBO) ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 58 สู่ระดับ 2.0% จากเดิม 2.9% ที่คาดการณ์ในเดือนม.ค.58 หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวเพียงเล็กน้อยและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาดในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้
+/ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ โดยสัญญา WTI ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 39.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ขยับขึ้น 52 เซนต์ ปิดที่ 43.21 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเป็นการช้อนซื้อหลังธนาคารกลางจีนประกาศลดดอกเบี้ยและ RRR อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังระมัดระวังการลงทุนอย่างมาก
- ราคาทองคำร่วงลง โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.ร่วงลง 15.3 ดอลลาร์ หรือ -1.33% ปิดที่ระดับ 1,138.30 ดอลลาร์/ออนซ์
บริษัทในกลุ่มพลังงานจะควบควมกิจการมากขึ้น หลังจากโครงสร้างราคาพลังงานเปลี่ยนโดยลดลงราวครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดีลระหว่างเป๊ปโค โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของสหรัฐกับเอ็กเซลอนยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะคณะกรรมการกำกับดูแลด้านอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐปฏิเสธข้อเสนอการควบรวมกิจการระหว่างสองบริษัทนี้
Cash Cost ของบ่อน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 35-40 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน Unit Cost (รวมค่าเสื่อมราคา) สูงสุดอยู่ที่ 60-65 ดอลลาร์/บาร์เรล ที่ราคาน้ำมันดิบระดับปัจจุบันบางบริษัทขาดทุนทางบัญชีแล้ว แต่ยังมีกำไรที่เป็นเงินสด (EBITDA เป็นบวก) สำหรับ PTTEP บริษัทระบุว่ามี Cash Cost เท่ากับ 17 ดอลลาร์/บาร์เรล และมี Unit Cost เท่ากับ 41 ดอลลาร์/บาร์เรล
Highest Cash Costs are in The US$35-40/bbl Range
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/- สงครามลดค่าเงินเป็นเรื่องที่ต้องจับตา หลังจากจีนประกาศลดค่าเงินหยวน นานาประเทศก็ลดค่าเงินตามมา โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่แข่งขันในการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกกับจีน สิ่งนี้ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน แม้ว่าทางการจีนจะประกาศลดดอกเบี้ยและ RRR เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ก็อาจต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะเห็นผลดี ด้านเฟดก็ต้องพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วย ซึ่งการที่สภาคองเกรสปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของสหรัฐในปีนี้ลงเป็น 2% (ของ DBS Group อยู่ที่ 2.2%) ก็น่าเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่าโอกาสที่จะที่ปรบขึ้นดอกเบี้ยในเดือนก.ย.นี้น้อยลง เรามองว่าถ้าค่าเงินของประเทศชั้นนำยังไม่นิ่ง ความผันผวนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) จะยังคงมีอยู่
ในด้านกลยุทธ์ลงทุนใน Equity ขณะนี้เรายังเห็นภาพตลาดเป็น Sideways down การปรับขึ้นน่าจะยังมีระยะทางที่จำกัด การเก็งกำไรรอบสั้นจึงไม่ควรหวัง Gap กำไรมาก (ซื้อจังหวะลงแรงและขายจังหวะเด้ง) ส่วนการลงทุนระยะยาว หลังจากที่เราแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นและถือเงินสดมากขึ้นไปแล้ว (ซึ่งก็แล้วแต่ความสามารถของพอร์ตว่าจะกลับมาถือเงินสดได้มากแค่ไหน) ก็ให้ถอยรับเป็น Step (ไม่เน้นการซื้อครั้งเดียวจบ) สำหรับหุ้นที่คงค้างอยู่ในพอร์ต เน้น Domestic Play ที่เป็น Defensive & ปันผลสูง
นักวิเคราะห์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]