WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

May copyบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์วันนี้ Bottom Fishing
ตลาดหุ้นวานนี้:
       ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดปรับฐานลงแรง และหลุดแนวรับหลัก 1,320 จุด กดดันโดยกลุ่มพลังาน / ปิโตรเคมี และหุ้นหลักใน SET50 Index จากความตึงเครียดของเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นหลายจุดทั่วโลกในช่วงนี้ บวกกับความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่เสี่ยงต่อการเติบโตต่ำกว่า 7% มากขึ้น ทำให้เกิด Selloff หุ้นทั่วโลก ปิด ณ สิ้นวัน 1,301.06 จุด ลง 4.73% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 60,491 ล้านบาท
       นักลงทุนต่างชาติยังคงลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทย ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 5 อีก 4,775 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง 1,914 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 3 มากถึง 6,421 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามการแถลงนโยบายจากนายกฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจ หลังรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ปรับตัวลงแรงคืนวานนี้
เกาหลีเหนือ - เกาหลีใต้ บรรลุข้อตกลงแล้ว
ติดตามกสทช.เตรียมนำร่างการประมูลคลื่น 1800 ลงในราชกิจจานุเบกษา วันนี้

ประเด็นที่ทำให้เกิด Global Selloff
หากวิเคราะห์ถึงภาพรวมของเงินทุนที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำมัน ต่างมีปัจจัยที่เชื่อมโยงกัน ด้วยมุมมองของเราดังนี้
เศรษฐกิจจีน มีความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย 7.0% มากขึ้น ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอเชียและอัฟริกา ที่พึ่งพิงกำลังซื้อจากจีน


เศรษฐกิจจีนที่เสี่ยงมากขึ้น น่าจะสะท้อนถึงเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือ สหรัฐฯ มีกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังออกมาต่ำกว่าคาดอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการส่งออกของสหรัฐฯ


เมื่อเศรษฐกิจมหาอำนาจลำดับที่ 1 และ 2 ของโลก เสี่ยงต่อการเติบโตชะลอตัว อุปสงค์น้ำมันย่อมเพิ่มขึ้นไม่ได้ตามเป้า ขณะที่อุปทานน้ำมันทั้งจากกลุ่มโอเปค และนอกโอเปคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่สมดุลย์ กดดันราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent


ผลพวงของการทำ QE ของธนาคารกลางที่สำคัญของโลกนับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ทั้ง FED / ECB / BoE / BoJ ทำให้ปริมาณเงินถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบการเงินทั่วโลกตลอด 5 ปี โดยที่ไม่มีการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินเหล่านี้ออกมาจากระบบ เมื่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างสินทรัพย์แต่ละประเภท จึงเกิดขึ้นในวงกว้างกว่าปกติ


เหตุการณ์ที่ผิดปกติตลอด 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดโกดังเคมีภัณฑ์ในจีน การวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ เหตุก่อการร้ายในรถไฟความเร็วสูงในกรุงปารีส เหตุการณ์ระเบิดคลังแสงอาวุธของสหรัฐฯ ที่ฐานทัพในญี่ปุ่น การระเบิดโรงงานผลิตเหล็ก ใกล้สนามบินฮาเนดะ เป็นต้น


และความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี หลังการเจรจาใช้เวลาถึง 3 วันจึงบรรลุข้อตกลงในช่วงเช้ามืดของวันนี้
เมื่อเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว (Development Markets: DM) ไม่เป็นไปตามที่นักกลยุทธ์การลงทุนชั้นนำของโลก ประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เงินทุนที่เคลื่อนย้ายจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ตั้งแต่ต้นปี ไปสู่ตลาด DM เป็นจำนวนมาก กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้รอบนี้ตลาด DM / EM ปรับฐานลงแรงมาในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น


ณ ปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์ ชั้นนำของโลก เริ่มออกมาให้ความเห็นถึงโอกาสที่เฟดจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกลางเดือนก.ย. เป็นไปได้ยากมากขึ้น แต่กลับมองถึงโอกาสที่เฟดจะออกมาตรการ QE4 มาประคองภาพรวมเศรษฐกิจของตนเอง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็น Wealth Creation ที่สำคัญของประชาชนอเมริกัน เพราะจะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐฯ

มุมมองต่อตลาด
แม้ว่า SET INDEX วันนี้มีโอกาสที่จะหลุดแนว 1,300 จุด สู่แนวรับสำคัญในเชิงปัจจัยพื้นฐานบริเวณ 1,280-1,290 จุด แต่เรายังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น "กลาง" ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ณ วันนี้ เป็นปัจจัยจากต่างประเทศตามที่เขียนข้างต้น มิได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ และ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่าทีมเศรษฐกิจ ภายใต้การนำ รองนายกฯ ดร.สมคิด จะเร่งหามาตรการเรียกความเชื่อมั่น ระยะสั้น และ ระยะกลางถึงยาว ออกมาจากนี้ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการลงทุนจากภาครัฐ และเอกชน เชื่อว่าจะทรงตัวได้ดีกว่าภาพรวมของ SET INDEX


ขณะที่ SET INDEX อาจยังเผชิญกับการปรับลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Global Ecoenomy อย่างกลุ่มน้ำมัน / โรงกลั่น / ปิโตรเคมี แต่ ราคาหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ปรับฐานลงมาต่ำกว่า -1SD ของค่าเฉลี่ย 1Yr Forward PER แล้วเช่นกัน และล่าสุด PTTGC ประกาศโครงการ Treasury Stock ย่อมสะท้อนถึงราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในมุมมองของบริษัท เราเชื่อว่าจะเห็นบริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนออกมาอย่างต่อเนื่อง


เมื่อภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ จากความคาดหวังเชิงบวกจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ บวกกับ Valuation ของกลุ่ม Global Play ที่ลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เราประเมินในเชิงปัจจัยพื้นฐาน บริเวณต่ำกว่า 1,300 จุด มีความน่าสนใจทยอยสะสมหุ้นเป้าหมาย โดยเราให้น้ำหนักกับแนวรับ 1,280 จุด จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็นบริเวณที่ตลาดหุ้นไทยเคยปรับฐานลงแรงในช่วงต้นปี 2556 ของแรงขายกองทุน LTF ในช่วง 2 วันแรกของปี และกลายเป็นจุดที่เกิด Technical Rebound สร้างฐานรอบใหญ่ให้แก่ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนเลือกเก็งกำไรในหุ้น / กลุ่ม Domestic Play เป็นสำคัญ" จากการคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะเริ่มทำงานในช่วงต้นเดือนก.ย. เป็นอย่างเร็ว

Top Pick in 3Q15: BCP/ BMCL / IFEC/ WHA
HOLD: ITD / TPIPL/ BJCHI/ ADVANC/ WHA/ THAI/ BCP/ IFEC/ INTUCH


Accumulative Buy: ADVANC/ KTB

Stock Pick of the Day

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "สะสม" ได้แก่
1. KTB : ราคาปิด 17.00 บาท ราคาเหมาะสม 21.03 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะมี Sentiment เชิงบวก จากการประชุมครม.นัดแรก ของครม.ชุดใหม่ ภายใต้แกนนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และคาดว่าจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
b) KTB ได้ประโยชน์โดยตรง เนื่องจากถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเป็นธนาคารหลักที่ได้รับอานิสงค์โดยตรงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นลูกค้าสัดส่วนสูงของธนาคาร
c) Valuation ค่อนข้างถูก จึงเชื่อว่าจะช่วยจำกัด Downside Risk ของราคาหุ้น เนื่องจากซื้อขาย PER 2558 เพียง 7.5 เท่า และ PBV 2558 ที่ 0.9 เท่า
d) ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดี โดยคาดการณ์เงินปันผลปี 2558 หุ้นละ 0.85 บาท คิดเป็น Dividend Yield 5.0%
2. ADVANC : ราคาปิด 229.00 บาท ราคาเหมาะสม 290.00 บาท
a) บอร์ดกสทช.ได้ผ่านร่างประกาศการประมูลคลื่น 1800 MHz แล้วในวันศุกร์ที่ผ่านมา และกำหนดวันประมูลเดิมในวันที่ 11 พ.ย.
b) คาดราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวก หลังประกาศร่างประมูลใบอนุญาต 4G ในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 26 ส.ค. ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับตลาดว่าการประมูล 4G จะเป็นไปตามกำหนดการ
c) ADVANC มีความพร้อมสูงสุดในการเข้าประมูลใบอนุญาต 4G จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่า ADVANC จะชนะการประมูลคลื่น 900MHz และ 1800 MHz อย่างละ 1 ใบ
d) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558 เติบโต +8.6% yoy เป็น 39,113 ล้านบาท และ +19.4% yoy เป็น 46,713 ล้านบาท ในปี 2559
e) มี Upside Risk จากการจัดตั้ง JV กับ TOT ซึ่งหากสำเร็จจะเป็นบวกอย่างมากต่อธุรกิจ Fixed Broadband ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา

 

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียขายสุทธิสูงถึง US$1,049 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$399 ล้าน
และเป็นการขาย 5 ใน 6 ตลาดอย่างหนาแน่น

 

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในไทย
      นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 5 ขายสุทธิ 4,775 ล้านบาท รวม 5 วันทำการ ขายสุทธิ 23,570 ล้านบาท และ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิทะลุ 7 หมื่นล้านบาท เป็น 76,055 ล้านบาท
     ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติกลับมา Short สุทธิอีกครั้ง 1,914 สัญญา คาดว่าเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Short อีกครั้ง เมื่อ S50U15 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 9.64 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 11.00 จุด ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเท่ากับ 70,447 สัญญา
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 6,421 ล้านบาท รวม 3 วันทำการขายสุทธิ 11,709 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการซื้อสุทธิ 6,896 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาพันธบัตรไทยปรับฐานลงแรง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 มากถึง 6.27bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.14bps ปิดที่ 2.719%
และนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงมีสถานะ Long ใน Metal Futures เป็นวันที่ 11 เร่งขึ้นเป็น 1,335 สัญญา รวม 11 วันทำการ Long สุทธิขยับเป็น 12,350 สัญญา คาดว่าการมีสถานะ Long ใน Metal เพื่อเก็งกำไรต่อการฟื้นตัวของทองคำในตลาดโลก บวกกับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

 

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เร่งขึ้นเป็น 1,301 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 774 ล้านบาท

 

NVDR Movement
NVDR ขายสุทธิเป็นวันที่ 5 เลือกลดน้ำหนักหุ้น Defensive อย่าง ADVANC / INTUCH
การซื้อขายผ่าน NVDR ขายสุทธิชะลอตัวเป็น 522 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 890 ล้านบาท รวม 5 วันทำการขายสุทธิ 5,196 ล้านบาท โดยกลับมาเน้นลดน้ำหนักหุ้น Defensive สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT ขายสุทธิสูงสุด 328 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 150 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ ขายสุทธิ 246 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 234 ล้านบาท กลุ่มขนส่ง ขายสุทธิ 233 ล้านบาท กลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 149 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 890 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารกลับมาซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 331 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 307 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 50 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค

 

สหรัฐอเมริกา
ประธานเฟดสาขา Atlanta ประเมินขึ้นดอกเบี้ยยากขึ้น: แม้ว่าโอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกองเฟดจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ก็ตาม แต่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า และการลดลงของราคาน้ำมันดิบ สร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ

ยุโรป
ไม่มี

จีน
ไม่มี

เอเชียแปซิฟิก
การเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือ - ใต้ ได้ข้อสรุป: หลังการเจรจาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ค่ำวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อตกลงในการป้องกันการโฆษณาชวนเชื่อ การส่งครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่ายที่ถูกแยกจากสงครามมาพบปะกันในเดือนก.ย. ด้านเกาหลีเหนือ เตรียมยกเลิกสัญญาณเตือนภัยสงคราม ทั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการเจรจาอีกครั้งที่กรุงโซล หรือ เมืองเปียงยาง ในเร็วๆ นี้
อัตราเงินเฟ้อสิงคโปร์หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9: หดตัว 0.4% yoy ในเดือน ก.ค. จากเดือนก่อนที่หดตัว 0.3% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาดหดตัว 0.2% yoy นำโดยราคาบ้านและค่ารักษาพยาบาลที่ลดลง นอกจากนี้ยังเป็นการลดลง 0.4% mom ขณะที่ตลาดคาดว่าจะคงที่

 

ไทย
รมว.พลังงาน ขอ 3 เดือนชัดเจนโรงไฟฟ้ากระบี่ - สัมปทานปิโตรเลียม: รมว.พลังงาน ระบุ ขอเวลา 3 เดือนจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการด้านพลังงานที่สำคัญทั้งในส่วนของการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ และการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อมาประกอบการพิจารณา หลังหลายฝ่ายยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ยืนยันนโยบายหลักจะต้องดำเนินการจัดหาพลังงานเพื่อให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอและยั่งยืน
สมคิด ดันเศรษฐกิจพ่นวิกฤติหวัง 3 เดือนพลิกเชื่อมั่น: นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกถึง แนวนโยบายเร่งด่วนที่ทีมเศรษฐกิจใหม่จะดำเนินการทันที จะมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมัและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากที่ประสบปัญหาขาดรายได้จากสินค้าเกษตรตกต่ำ สำหรับการแก้ปัญหาในระยะสั้น คือ การออกมาตรการที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น โดยได้เรียนกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่า จะต้องเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า การพัฒนาชุมชนในท้องถิ่น เน้นให้เศรษฐกิจโดยทั่วไปหมุนได้ และในต่างจังหวัดให้มีรายได้เงินหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีมาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการ เพื่อเสนอต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาโดยเร็วที่สุด

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!