- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 20 August 2015 17:56
- Hits: 1139
บล. เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
EPS ตลาด ล่าสุดปีนี้คือ 89.8 บาท สะท้อนการตัดลดกำไรรายกลุ่มที่ต่ำกว่าคาดใน 2Q58 และปรับลดสมมติฐานน้ำมันลงอีก 5 เหรียญฯ ได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2558 ที่ 1,392 จุด มี upside จำกัด ยังเน้นกลยุทธ์เลือกหุ้น Defensive + P/E ต่ำ + ปันผลสูง คือ ADVANC (FV@B285) และ EASTW (FV@B14) เป็น Top picks
ปัจจัยตลาดหุ้นไทยยังมีรอบด้าน ทั้งน้ำมันและค่าเงิน
ปัจจัยกดดันตลาดยังมีอยู่รอบด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ดังที่ทราบกันว่าเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ค่อยทำงาน (C, I, X-M) ยกเว้นเพียง G หรือการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งคาดว่าในงวด 3Q58 ซึ่งถือเป็นงวดสุดท้ายของปีงบประมาณ (2558 สิ้นสุดเดือน ก.ย.) รวมถึงการลงทุนภาครัฐ ที่จะต้องเร่งใช้จ่ายเพื่อปิดงบภาครัฐ แต่ภาคเอกชนน่าจะยังอยู่ในสภาพที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เป็นการสร้างกดดัน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งกระทบไปถึงธุรกิจโรงแรม อาหาร สายการเงินบิน ร้านค้าปลีก และโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในจุดที่เกิดระเบิดอาจจะกระทบช่วงสั้น สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในงวด 3Q58 ซึ่งทำให้กำไรตลาดโดยรวมกำไรในงวด 3Q58 อาจจะต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าชะลอตัวจากงวด 1Q58 และ 2Q58 ทั้งนี้แม้นักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับลดกำไรตลาดไปแล้วในรอบนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดเป็นรอบที่ 2 ของปี 2558 แต่ก็ตามถือว่าเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ (รายละเอียดในย่อหน้าถัดไป)
นอกจากนี้ แนวโน้มค่าเงินเอเซียที่ยังมีทิศทางอ่อนค่า จากผลกระทบของเศรษฐกิจในประเทศและภาวะการส่งออกที่หดตัดตามเศรษฐกิจโลก ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันแรงขายของต่างชาติ แม้ก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติ ได้ขายหุ้นในภูมิภาคเอเซียไปมากแล้วจำนวนมากก็ตาม แต่โอกาสที่จะกลับมาในช่วงดูเหมือนจะยาก เนื่องจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น แม้อาจจะต้องล่าช้าออกไปเป็นปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าก็ตาม เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจจะกลับมากดดันสหรัฐอีกครั้งโดยเฉพาะการชะลอตัวของจีน ขณะที่ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น ตลาดแรงงานที่ฟื้นตัว แต่อาจจะยังไม่ยืนยันในเรื่องของราคา สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยล่าสุดเงินเฟ้อเดือน ก.ค. อยู่ที่ 0.2% แม้จะขยับเพิ่มจาก 0.1% ในเดือนก่อนหน้า (เป็นบวกมา 3 เดือน) แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2%
ตัด EPS ตลาดลงเฉลี่ย 6.5% ดัชนีสิ้นปีเหลือ 1,392 จุด
ล่าสุด นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรของ PTT และ PTTEP ในปี 2558 ลง 10.9% และ 12.3% และปรับลดปี 2559 ลง 5.7% และ 8.2% ตามลำดับ สะท้อนการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบลงอีก 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล (นับเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้) ส่งผลให้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2558 และ 2559 เท่ากับ 53 และ 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปัจจัยกดดันมาจาก Supply ที่ยังอยู่ในระดับสูงหลังจาก OPEC ไม่ปรับลดการผลิต และ Supply ที่เพิ่มขึ้นจากอิหร่าน ขณะที่ Demand ยังค่อนข้างอ่อนตัวเนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง รวมทั้งได้มีการปรับเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 34 และ 35 บาท
ต่อเหรียญฯ จากเดิมที่ 33 บาทต่อเหรียญฯ ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ
การปรับลดประมาณการของ PTT และ PTTEP ลง ทำให้แนวโน้มกำไรกลุ่มพลังงานปี 2558 และ 2559 หายไปจากประมาณการเดิมราว 1.2 หมื่นล้านบาท และ 8.7 พันล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรตลาดในปีนี้หลังการประกาศงบงวด 2Q58 สิ้นสุด ล่าสุดอยู่ที่ 8.37 แสนล้านบาท และปี 2559 ที่ 9.51 แสนล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 5.7% และ 6.7% หรือคิดเป็น EPS 89.81 บาท และ 102.12 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้ระดับดัชนีปัจจุบันมีค่า Expected PER ที่ประมาณ 15.35 เท่า ทำให้ได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2558 ที่ 1,392 จุด อิง PER 15.5 เท่า จะเห็นได้ว่า SET Index ยังคงมี upside จำกัด จึงยังเน้นเลือกหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้น Defensive ที่มี PER ต่ำ คาดหวังปันผลสูง ดังรายละเอียดในหัวข้อด้านล่าง
ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
วานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 367 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 11) โดยเป็นการขายสุทธิทั้ง 5 ประเทศ นำโดยไต้หวันถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 189 ล้านเหรียญ และเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 3 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10) เช่นเดียวกับกลุ่ม TIP อย่างอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 32 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 11) และฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิราว 16 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) ส่วนตลาดไทย ขายสุทธิต่อเนื่องราว 128 ล้านเหรียญ หรือ 4,551 ล้านบาท แม้วันอังคารที่ผ่านมาได้ขายสุทธิสูงสุดในรอบปี ส่วนสถาบันในประเทศขายสุทธิราว 2,661 ล้านบาท ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 12,066 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 5,526 ล้านบาท ส่วนทางค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.56 บาท/ดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุนถือหุ้นน้อยเน้นทนทานเศรษฐกิจชะลอตัว
กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นเกิน 6 เดือน น่าจะเป็นจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐาน ซึ่งปลอดภัยจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว โดยเน้นเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ Dividend Yield สูง ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง อาทิ
หุ้นสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า ประปา เนื่องจากรายได้ค่อนข้างมั่นคง มีความผันผวนต่ำ ได้แก่ EASTW (FV@B14) beta ต่ำเพียง 0.39 และ PER เพียง 14 เท่า คาดหวัง Div.Yield ราว 4%, TTW ([email protected]) beta ต่ำเพียง 0.50 และ PER 16 เท่า คาดหวัง Div.Yield ถึง 5.6%, EGCO (FV@B184) beta ต่ำเพียง 0.43 และ PER เพียง 14 เท่า คาดหวัง Div.Yield ราว 4.08%
หุ้นเติบโตแรงท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่ SCC (FV@B 580) EPS Growth ปีนี้กว่า 40% และปีหน้าเติบโต 8%, WORK (FV@B 45) EPS Growth ปีนี้เติบโตถึงกว่า 7 เท่า และปีหน้าเติบโต ถึง 73%, และ THCOM(FV@BCC) EPS Growth ปีนี้เติบโต 30% และปีหน้าเติบโต 12%
หุ้น Dividend Yield สูง ได้แก่ INTUCH (FV@B113) Div.Yield 6.5%, ADVANC (FV@B 285) Div.Yield 6%, BTS(FV@B12) Div.Yield 6.9%
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์