- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 17 August 2015 18:34
- Hits: 1977
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อตามค่าบวก & SET เหนือ 1400”
•หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BDMS, NWR (จากซื้อเป็นถือ)ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดเพิ่มขึ้น 9.77 จุดปิดที่ 1413.92 โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมากจนทำให้ Forward P/E ปี 58 หลังปรับลดประมาณการใหม่แล้วยังต่ำกว่า 10 เท่า ซึ่งต่ำกว่า Forward P/E ของตลาดหุ้นโดยรวมกว่า 30% นอกจากนั้นก็มีการเลือกซื้อหุ้นกลาง-เล็กพื้นฐานดีที่มีกำไรเติบโตแข็งแกร่งทั้งในปี 58-59
ปัจจัยจับตา คือ ทิศทางค่าเงินสกุลหลักของโลกและเอเชีย ซึ่งค่าเงินหยวนนิ่งขึ้นโดยล่าสุดเช้านี้อยู่ที่ 6.3818 หยวน/ดอลลาร์ อ่อนลง 3%YTD เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ โดยทางผู้ว่าการธปท.มองว่าการลดค่าเงินหยวนของทางการจีนเป็นไปตามหลักการไม่ใช่การเปิดสงครามค่าเงินอย่างที่บางฝ่ายกังวลกัน ทั้งนี้เพราะจีนต้องการปฎิรูปให้ค่าเงินมีความยืดหยุ่นตามตลาดมากขึ้นและช่วง 7M58 ค่าเงินหยวนค่อนข้างนิ่งเมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับค่าเงินบาทอ่อนลง 7.4%YTD เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินด้วยการออกมาตรการแทรกแซงของรัฐบาลประเทศขนาดใหญ่และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรับและประเทศอื่นๆในโลกทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายยังไม่ทิ้งความผันผวน, การเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการจับสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกรอบหนึ่ง และการรายงานผลประกอบการ 2Q58 ของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยหุ้นขนาดกลาง-เล็กส่วนใหญ่มีการเติบโตที่ดี ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ทรงถึงอ่อนตัวลง แนวโน้มกลุ่มก่อสร้างระยะยาวยังไปได้ดี ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี โดยถอยรับเป็น Step โดยหุ้นพื้นฐานที่เลือกมาแนะนำในวันนี้เป็น CK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบ/หลุด 1400 จุด ดูไม่ดีมีสิทธิลงไปที่ 1380+/- จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1420-1430, 1440 จุด สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในระยะสั้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น GL, FORTH,MCS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ M, MAKRO, BTC, TVO หุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น KAMART, PTTEPMarket Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
•/- ญี่ปุ่น : GDP Growth ประจำ 2Q58 หดตัว 1.6% เนื่องจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดการใช้จ่าย
+ สหรัฐ : การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.6%MoM ในเดือนก.ค. ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.4%MoM โดยการผลิตได้ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนก.ค. หลังจากที่ร่วงลง 5 เดือนติดต่อกันจากช่วงต้นปี อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนก.ค.ปรับขึ้น 0.3% สู่ระดับ 78.0% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของวิเคราะห์
+ สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.2%MoM ในเดือนก.ค.หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4%MoM ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้น0.1%MoM
+/• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับขึ้น 0.3-0.4% หนุนโดยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.และดัชนีราคาผู้ผลิตที่ขยับขึ้น อย่างไรก็ตาม การซื้อขายค่อนข้างผันผวน เพราะรอดูรายงานการประชุมเฟดเดือนก่อน ซึ่งจะเปิดเผยในวันพุธที่ 19 ส.ค.นี้
• ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวกรอบแคบ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTIส่งมอบเดือนก.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 27 เซนต์ แตะที่ 42.50 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนปิดลดลง 19 เซนต์ ที่ 49.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
• ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อย สัญญาทองคำตลาด COMEX(Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดปรับลง 2.9 ดอลลาร์หรือ 0.26% ที่ 1,112.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
- สคช.มองว่ามีโอกาสที่ GDP ปี 58 จะเติบโตต่ำกว่า 3%เนื่องจากการส่งออกซบเซามากกว่าคาด ความผันผวนของค่าเงินมีมากทั้งจากจีนลดค่าเงินหยวนและเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ใน4Q58 มีลุ้นว่าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณภาครัฐและรัฐวิสาหกิจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 59
+/- Update : MSCI Quarterly Index Review เดือนส.ค.2558...ไม่มีการปรับในส่วน Thailand Index ทาง MSCI มีการปรับน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมโดยหลักดังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน คือ กลุ่ม Diversified Financial (+0.06%), กลุ่มธนาคาร (+0.04%), กลุ่มพลังงาน (+0.01%), กลุ่มอาหารค้าปลีก (+0.01%) ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดน้ำหนักการลงทุนคือ กลุ่มวัสดุ แร่โลหะ (-0.08%), กลุ่มเวชภัณฑ์และยา (-0.05%) โดยในพอร์ตการลงทุน Equity ของ MSCI Index จะมีสัดส่วนหุ้นที่เป็น Large CapIndex 73.0%, Mid Cap Index 15.9% และ Small Cap Index 11.1%
• ผู้ว่าการธปท.มองจีนลดค่าเงินหยวนเป็นไปตามหลักการ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท.เห็นว่าการลดค่าเงินหยวนของจีนไม่ใช่การเปิดสงครามค่าเงินอย่างที่บางฝ่ายกังวลกัน โดยมองว่าเป็นการปฎิรูปค่าเงินหยวนเพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น และเป็นการให้ค่าเงินสอดคล้องกับสกุลอื่นในภูมิภาคเอเชียและโลก ซึ่งได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ค่าเงินหยวนค่อนข้างนิ่งทำให้จีนเสียเปรียบทางการค้า ดังนั้นจึงไม่มีการประชุมคณะกรรมการฯ
วาระพิเศษจากประเด็นนี้
• STPI : รายได้และกำไรเติบโตเกินคาด แต่อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าคาด รายงานกำไรสุทธิ 2Q58 เติบโต 26%YoY และ 33%QoQเป็น 713 ล้านบาท โดยหลักมาจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น 99%YoYและ 119%QoQ เป็น 5.2 พันล้านบาทในไตรมาสนี้ แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 19.5% จาก 24.2% ใน 2Q57 และ 26.8% ใน 1Q58ซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากเกินคาด มาจากการรับรู้รายได้ค่าเร่งงานบางส่วน(ค่าเร่งงานอยู่ที่ 158 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรข้นต้นใน 2Q58 ลดลงมากจากที่เราและนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เพราะมีการปรับปรุงประมาณการต้นทุนงานก่อสร้างตามแนวโน้มของต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งต้นทุนบางอย่างที่เพิ่มมาจากการที่ลูกค้าขอเปลี่ยนแปลงประเภทวัตถุดิบ โดยบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขอเพิ่มราคาขายกับคู่สัญญาอยู่ นอกจากนั้นมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 171ล้านบาทตามสัญญา Forward ความเสี่ยง คือ บริษัทจะขอเพิ่มราคาขายกับคู่สัญญาได้มากแค่ไหน และจะรับรู้ได้เมื่อไร ซึ่งหากยังไม่เข้ามาใน 2H58 ก็จะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 58 ลดลง ราคาเป้าหมายต่ำลง (ในการวิเคราะห์ความอ่อนไหว หากให้ GPM ปีนี้ลงเป็น 22%เท่ากับ 1H58 จากเดิม 28.9% พบว่าคาดการณ์กำไรปีนี้จะลดลง 23%และราคาเป้าหมายจะลดลงเป็น 14 บาท จากเดิม 18.10 บาท)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]