- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 07 August 2015 17:31
- Hits: 3817
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"การซื้อควรตามด้วยค่าบวก & หวัง Gap ไม่มาก"
Stock Picks-Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: GL
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, SNC, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : LH 29%, HMPRO 22%, KBANK 16%, BJC 14%, MONO 14%
Technical View ภาพตลาดพลิกเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1440-1450 หลุด 1420
SET50 ซื้อค่าบวก 950-960 หลุด 935
Technical Picks- Today : UNIQ, SYNTEC, RATCH, EGCO, BLA, AJP, PICO, TIPCO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลง 5.78 จุด ปิดที่ 1430.58 นักลงทุนยังคงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงานต้นน้ำ, ขนส่ง, อาหาร เป็นต้น แต่ยังคงมีการเลือกซื้อหุ้นปันผลดี & หุ้นที่มีผลประกอบการ Turnaround นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.4 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท สถาบันในประเทศ & พอร์ตบล.ซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก
ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐที่จะออกมาศุกร์นี้ ซึ่งจะมีผลต่อคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนแอต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะต้นน้ำอย่าง PTTEP & PTT แต่ในส่วนปลายน้ำที่เป็นปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ยังแข็งแกร่ง หุ้นเด่น คือ PTTGC, SCC ด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยที่ลดลงต่อเนื่อง 7 เดือนและต่ำสุดในรอบ 14 เดือนก็กดดันกลุ่มที่พักอาศัย, พาณิชย์, สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อบัตรเครดิต & สินเชื่อส่วนบุคคล แต่สินเชื่อรับจำนำยังไปได้ดี เพราะมีหลักทรัพย์ค้ำประกันและ LTV ต่ำ หุ้นเด่นเป็น GL, MTLS เป็นต้น กลุ่มอาหารทั้งในประเทศและส่งออกซบเซาในช่วง 1H58 และคาดว่าจะอ่อนแอต่อใน 3Q58 การเข้าลงทุนในหุ้นหลักกลุ่มนี้จึงเน้นทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว หุ้นพื้นฐานที่เลือกมาแนะนำในวันนี้เป็น GL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 1440-1450 จุด ค่าลบให้ Wait & See การหลุด 1420 จุดให้ Stop Loss หุ้นที่ SCAN ด้วยเงื่อนไขทางเทคนิคว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นได้ในระยะสั้นที่เข้ามาใหม่ คือ BLA, SYNTEC, AJP, PICO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List ต่อเป็น TIPCO, SAWAD, PTG, CHG ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและควรพิจารณาหาจังหวะ Take Profit โดยเฉพาะเมื่อราคาปรับขึ้นต่อ คือ BH, CHOW
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/+ อังกฤษ : ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% และคงวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ 3.75 แสนล้านปอนด์ (5.76 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปีนี้ขึ้นเป็น 2.8% (เดิม 2.5%)
+ สหรัฐ : ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์สิ้นสุด 1 ส.ค.เพิ่มเพียง 3 พันราย เป็น 2.7 แสนราย บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง : ดัชนีดาวโจนส์ปิด -120.72 จุด ดัชนี S&P500 ปิด -16.28 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -83.50 จุด การลดลงของตลาดนำโดยหุ้นกลุ่มสื่อ ซึ่งมีผลประกอบการซบเซา รวมทั้งนักลงทุนในตลาดรอดูรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือน ก.ค.58 ซึ่งผลสำรวจคาดการณ์ว่าจะเพิ่ม 2.15 แสนตำแหน่ง (มิ.ย.58เพิ่มขึ้น 2.23 แสนตำแหน่ง) และคาดการณ์อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 5.3% ต่ำสุดในรอบ 7 ปี
- ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 49 เซนต์ ปิดที่ 44.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ลดลง 7 เซนต์ ปิดที่ 49.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดันยังคงเป็นอุปทานที่สูง โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยในรายงานล่าสุดว่า ตลาดน้ำมันโลกมีปริมาณน้ำมันส่วนเกินอยู่ 2 ล้านบาร์เรล/วันในขณะนี้ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับส่วนเกิน 1.8 ล้านบาร์เรล/วันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นถ้าอิหร่านผลิตน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกมากขึ้นหลังการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรมีผลบังคับใช้
ราคาทองคำขยับขึ้นเล็กน้อย โดยสัญญา COMEX ส่งมอบธ.ค.เพิ่มขึ้น 4.5 ดอลลาร์ เป็น 1090.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
- กระทรวงพาณิชย์ปรับลดคาดการณ์มูลค่าส่งออกปีนี้เป็น -3% (จากเดิม -1.2%) ซึ่งไม่ได้ Surprise ตลาด เนื่องจากหลายองค์กรปรับลดลงไปก่อนหน้านี้แล้ว และบางแห่งมองอนุรักษ์นิยมกว่าที่ -4% ถึง -4.5% ซึ่งทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะอยู่ที่ 2% กว่าๆ แล้วค่อยขยายตัวระดับ 4% ในปี 59 กระตุ้นโดยการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ
-/ เศรษฐกิจไทย : เข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิคแต่ยังไม่ถึงกับน่ากลัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมองว่า อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง 7 เดือนถือเป็นการเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในเชิงเทคนิค แต่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่น่ากลัว เพราะเงินฝืดที่น่ากลัวและรุนแรงในระบบเศรษฐกิจ คือ เงินฝืดที่จะต้องเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ติดลบ และเงินเฟ้อติดลบอันเนื่องมาจากความต้องการสินค้าย่ำแย่จนทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าอย่างมากเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภค
- ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 62.6 ลดลงจาก 63.8 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และต่ำสุดในรอบ 14 เดือน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค.58 อยู่ที่ 73.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 68.6 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 88.8 ปัจจัยกดดันคือภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกที่ซบเซา และราคาน้ำมันลดลงช่วยกระตุ้นได้ไม่มาก ส่วนปัจจัยที่เป็นความหวัง คือ การเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ตกต่ำต่อเนื่องเป็นลบต่อการอุปโภคบริโภค กลุ่มที่ได้รับผลกระทบตรง เช่น ที่พักอาศัย, พาณิชย์, สินเชื่อเช่าซื้อ บัตรเครดิต ส่วนบุคคล เป็นต้น แต่ในส่วนของสินเชื่อรับจำนำยังไปได้ดี และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะมีหลักประกันรองรับ และมี LTV ต่ำที่ประมาณ 30-60% หุ้นเด่นเป็น GL (ราคาพื้นฐาน 19 บาท), MTLS (ราคาพื้นฐาน 23 บาท)
- ธุรกิจอาหาร : ภาพรวมของธุรกิจซบเซา นายกสมาคมภัตตาคารไทยกล่าวว่าในช่วง 1H58 รายได้ของร้านอาหารในประเทศลดลง 30-40% เพราะกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว โดยจำนวนครั้งในการทานอาหารนอกบ้านในวันธรรมดาลดลงเป็น 2 ครั้ง/สัปดาห์ (จากเดิมมากสุด 4 ครั้ง/สัปดาห์) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการทานอาหารนอกบ้านลดลงเป็น 150-200 บาท/คน/มื้อ (เดิม 300 บาท/คน/มื้อ)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : นับว่าสอดคล้องกับตัวเลข Same-store-sales growth ของธุรกิจร้านอาหารที่ส่วนใหญ่ติดลบในช่วง 1H58 (ที่เห็นรายได้เติบโตเพราะมีการขยายสาขา) เราคาดว่าตัวเลขยอดขายสาขาเดิมจะยังติดลบต่อใน 3Q58 เพราะฐานของ 3Q57 ขยับขึ้นเพราะช่วงนั้นประชาชนมีความหวังกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ & ประเทศจากก่อนหน้ามีการชุมนุมประท้วงกันมาหลายเดือน หลายบริษัทใช้โอกาสนี้เร่ง Renovate ธุรกิจ ปิดกิจการที่ไม่ทำกำไร ตั้งสำรองค่าเผื่อฯการด้อยค่าในเงินทุน เร่งหาทางลดต้นทุนทั้งในการปรับเมนูและในกระบวนการผลิต รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งนี้ผลดีจากราคาน้ำมันค้าปลีกในประเทศที่ลดลง ยังไม่ส่งผลดีต่อการบริโภคและต้นทุนของธุรกิจอาหารมากนัก
ส่วนอาหารส่งออก คาดว่าจะยังซบเซาจากการถูกต่อรองราคาจากประเทศคู่ค้า, กำลังซื้อประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง, ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ไม่ได้ต่ำมาก รวมทั้งมีความเสี่ยงว่าจะมีผลกระทบจากประเด็นค้ามนุษย์ & ประมงผิดกฎหมายด้วย
ในเชิงกลยุทธ์ ในระยะสั้นเรามีความเห็นห่วงธุรกิจนี้มากขึ้นหลังจากทำ Preview ผลประกอบการ 2Q58 และคาดว่าธุรกิจจะใช้เวลาในการฟื้นตัว อย่างไรก็ เชื่อว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดฯจะฝ่าฟันความซบเซารอบนี้ไปได้ และมีความหวังในแง่ดีว่า ผลประกอบการจะฟื้นตัวได้ในปี 59 (จากฐานต่ำในปี 58) และเติบโตต่อในปี 60 (จากกำลังซื้อที่กระเตื้องขึ้นทั้งในประเทศและตลาดโลก) หุ้นเกี่ยวข้องกับอาหารที่เป็น Top Pick คือ CENTEL ราคาพื้นฐาน 43 บาท (มีการเติบโตได้ในปีนี้ จากธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวและฐานกำไรธุรกิจอาหารปีก่อนต่ำ) สำหรับ CPF, GFPT, MINT มีความเสี่ยงที่นักวิเคราะห์จะมีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิและราคาเป้าหมายลงอีกรอบ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]