- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 04 August 2015 18:03
- Hits: 2335
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ผ่านและยืนเหนือ 1450 ได้ถือต่อ...ไม่ได้ขายก่อน"
Stock Picks-Aug 2015 : Fundamental : INTUCH, KBANK, QH, RATCH, SCC ส่วน Dark Horse คือ CK, GL
Fundamental Pick -Today: KCE
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : RATCH 30%, BJC 27%, EGCO 26%, PTT 19%, THCOM 13%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ มีสิทธิรีบาวด์ต่อก่อนลงต่ำ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1450-1460 หลุด 1420
SET50 ซื้อค่าบวก 960-970 หลุด 935
Technical Picks- Today : KBANK, SYNTEC, FORTH, GLOW, TIPCO, TVO, TPAC, TAPAC
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย ปิดตลาด +1.92 จุดที่ 1442.04 โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (สอดคล้องกับที่เราได้ทำการวิเคราะห์ว่าเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับลดลงมากกว่าตลาด และ P/E หลังปรับลดประมาณการได้ลดลงจากก่อนปรับ ขณะที่ P/E ตลาดทรงตัว) รวมทั้งมีการเลือกซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q58 ด้วย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1.4 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก
ในวันนี้ (4 ส.ค.) คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เป็นความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งดำเนินการเรื่องต่างๆ ให้รวดเร็วและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ปัจจัยจับตา คือ รายงานผลประกอบการ 2Q58 ซึ่งต้องเลือกเก็งกำไรเป็นรายบริษัทไป รวมถึงผลประชุมกนง. ซึ่งเราเห็นว่ามีโอกาสที่ทางการไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกรอบ (แม้ว่าจะไม่เป็นรอบนี้ก็ตาม) เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจภายใน & การส่งออกที่อ่อนแอ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำมาก การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นบวกกับส่งออก หุ้นเด่น KCE, DELTA ส่วนปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง ซึ่งกดดันผลประกอบการกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ PTTEP ส่วน PTT คาดว่าจะมีกำไรอยู่ในเกณฑ์ดีเพราะส่วนต่างปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ของบริษัทลูกยังแข็งแกร่ง, มีกำไรจากการขายหุ้น BCP เข้ามาช่วยหนุนใน 2Q58 และมีกำไรจากการขายหุ้น SPRC เข้ามาหนุนใน 2H58 ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์เราจึงชอบ PTT มากกว่า PTTEP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ เน้นซื้อค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 1450-1460, 1480 จุด ค่าลบให้ Wait & See การหลุด 1420 จุดให้ Stop Loss สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นพบว่า หุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น TIPCO, KKC, TVO, FORTH, KBANK
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : PMI เดือนก.ค.อยู่ที่ 53+/- มาร์กิตระบุว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.8 ในเดือนก.ค. จากระดับ 53.6 ในเดือนมิ.ย. ส่วนผลการสำรวจของ ISM พบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 52.7 ในเดือนก.ค. ลดลงจากระดับ 53.5 ในเดือนมิ.ย.
/- สหรัฐ : การใช้จ่ายของผู้บริโภคเดือนมิ.ย.+0.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 4 เดือน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลงในช่วงท้ายไตรมาส 2
- จีน : ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนที่จัดทำร่วมกับไคซินร่วงลงแตะ 47.8 ในเดือนก.ค. ต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยลดลงจาก 49.4 ในเดือนมิ.ย. และเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของการผลิต
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง โดยดัชนี DJIA ลดลง 0.52% ดัชนี Nasdaq ลดลง 0.25% และดัชนี S&P500 ลดลง 0.28% เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้การใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนมิ.ย.58 รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงก็กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย
/- น้ำมันดิบ : กลุ่มโอเปกยืนยันไม่ลดกำลังการผลิต อับดุลลาห์ อัล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยืนยันว่ากลุ่มจะไม่ลดกำลังการผลิต แม้โลกกำลังเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาด ทั้งนี้ราคาน้ำมันได้ดิ่งลงเกือบ 20% ในไตรมาส 3/58 ซึ่งจะทำให้ไตรมาส 3 ปีนี้มีแนวโน้มเป็นไตรมาส 3 ที่ราคาน้ำมันทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 นักลงทุนในตลาดคาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกจะเพิ่มขึ้นอีก หลังการผลิตในเดือนมิ.ย.เพิ่ม 283,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับเฉลี่ย 31.38 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
- ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.95 ดอลลาร์ ปิดที่ 45.17 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับ BRENT ลดลง 2.69 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดันหลักยังเป็นอุปทานน้ำมันดิบที่สูง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงในปลายไตรมาส 2/58 ก็เป็นปัจจัยที่เข้ามาเสริมด้วย
- ราคาทองคำ COMEX อ่อนลง โดยสัญญาส่งมอบธ.ค.ลดลง 5.7 ดอลลาร์ ปิดที่ 1089.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำ
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
วันนี้ (4 ส.ค.) คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติตามข้อเสนอ โดยมาตรการกระตุ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็บ่งชี้ว่ารัฐบาลพยายามเร่งดำเนินการให้มีความรวดเร็วและให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ไทย : อัตราเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนก.ค.58 ลดลง 1.05%YoY โดยลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และลดลง 0.07%MoM ส่วน 7M58 ดัชนีลดลง 0.85%YoY สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนก.ค.58 เพิ่มขึ้น 0.94%YoY และเพิ่ม 0.10%MoM ส่วนรอบ 7M58 เพิ่มขึ้น 1.18%YoY
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำเปิดทางให้ทางการไทยสามารถในนโยบายการเงินผ่อนคลายได้อีก เราจึงคาดการณ์ว่ากนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกรอบในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนภาคส่งออกจากการอ่อนค่าของเงินบาท (ซึ่งอาจจะอ่อนจากระดับ 35.0-35.5 บาท/ดอลลลาร์ไปไม่มาก แต่เป็นการรักษาให้อยู่ในระดับประมาณนี้) ทั้งนี้ แม้ว่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันหรือเพิ่มคำสั่งซื้ออย่างมีนัยสำคัญเพราะกำลังซื้อประเทศคู่ค้ายังอ่อนแอตามเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งบางอุตสาหกรรมของไทยก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย อย่างไรก็ตาม ช่วยให้รายได้และมาร์จิ้นที่แปลงกลับมาเป็นรูปเงินบาทดีขึ้น เราประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 58 ของไทยไว้ที่ 1.25%
# กลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย คือ ธนาคารพาณิชย์และที่พักอาศัย เราให้น้ำหนักลงทุนเป็น Neutral โดยประเมินว่าธนาคารจะปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ทำให้สามารถบริหาร NIM ไว้ใกล้เคียงกับ 1H58 แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงหรือไม่ก็ตาม ส่วนกลุ่มที่พักอาศัย ยังดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง เพราะกำลังซื้อชะลอตัว สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ คาดว่าผู้ประกอบการจะชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ คือ KBANK (ราคาพื้นฐาน 224 บาท), QH (ราคาพื้นฐาน 3.40 บาท)
# กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินบาทอ่อน คือ ส่งออกนำเข้า และบริษัทที่มีรายได้ & หนี้สินรูปดอลลาร์ ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทจะเป็นบวกกับบริษัทที่มีรายได้สุทธิรูปดอลลาร์ แต่เป็นลบกับบริษัทที่มีหนี้สินสุทธิรูปดอลลาร์ อย่างไรก็ตามหลายบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว จึงมีผลกระทบไม่มาก หุ้นเด่นในกลุ่มเหล่านี้เป็น KCE (ราคาพื้นฐาน 55 บาท), DELTA (ราคาพื้นฐาน 88 บาท)
/- HMPRO : บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q58 เพิ่มขึ้น 4%YoY และ 12%QoQ เป็น 820 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่ม 14%YoY เพราะการเปิดสาขาใหม่ ส่วนยอดขายสาขาเดิมในประเทศลดลงเล็กน้อย 0.3%YoY อัตรากำไรขั้นต้นชะลอเป็น 25.6% จาก 26.4% ใน 2Q57 เพราะ Mixed ของรายได้ที่เปลี่ยน (สัดส่วนของรายได้จาก Mega Home สูงขึ้น ขณะที่ยอดขาย House Brand ลดลง) แม้ว่าผลประกอบการอาจต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดเคยตั้งเป้าหมายไว้ แต่โดยภาพรวมเห็นว่า HMPRO เป็นบริษัทที่ปรับตัวได้ดี โดยธุรกิจยังคงเดินหน้าได้ค่อนข้างดีในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซามาหลายเดือนต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้ม 3Q58 คาดว่ากำไรจะชะลอตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลและกำลังซื้อในต่างจังหวัดที่อ่อนแอ แต่ก็เป็นจังหวะในการทยอยซื้อลงทุนระยะยาว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]