- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 03 August 2015 16:28
- Hits: 1054
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET อาจย้อนลบให้เห็นบ้าง แต่คาดยังรีบาวด์ขึ้นอีกได้...
กลยุทธ์ : เรายังคาดว่า SET มีลุ้นแกว่งบวกต่อเนื่องได้อีก แม้ว่าอาจจะมีจังหวะแกว่งย้อนลบให้เห็นบ้าง แต่กรอบลบน่าจะไม่ลึกมากนัก เพราะนักลงทุนยังมีความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ รมว.คลังที่จะยื่นเข้า ครม. ในวันพรุ่งนี้(4 ส.ค.) ดังนั้นลงทุนระยะกลางยังเน้นถือต่อได้ ส่วนเทรดดิ้งตามรอบอาจแบ่งทำกำไรช่วงบวกบ้าง เพื่อรอซื้อใหม่ช่วงแกว่งย้อนลง
หุ้นเด่นทางเทคนิค : CENTEL, LOXLEY, TTCL(short)
แนวโน้ม : SET รีบาวด์กลับขึ้นมาได้แรงพอควรในช่วงท้ายสัปดาห์ก่อน หลังจากช่วงก่อนหน้าตลาดตอบรับข่าวลบด้วยการปรับตัวลงค่อนข้างเร็วและลึกแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มกลับมามียอดซื้อสุทธิให้เห็น รวมทั้งนักลงทุนคงยังตามรอดูรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่ รมว.คลังจะนำเสนอเข้า ครม.ในวันพรุ่งนี้(4 ส.ค.) อีกครั้งด้วย ทำให้โอกาสที่ SET จะยังอยู่ในช่วงแกว่งบวกต่อเนื่องยังเป็นไปได้ตามคาด อย่างไรก็ตามการกลับมาปรับตัวย้อนลบของดัชนีดาวโจนส์เมื่อค่ำวันศุกร์ เพราะได้รับแรงกดดันจากการปรับลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากบริษัทพลังงานรายใหญ่เปิดเผยผลประกอบการออกมาอ่อนแอกว่าคาด อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ร่วงลง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซา อาจส่งผลให้ SET มีจังหวะแกว่งตัวผันผวนและย้อนลบได้บ้างในต้นสัปดาห์นี้ หลังตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ก็เริ่มมีหลายแห่งที่เปิดทำการด้านลบ แต่ FSS ยังคาดว่ากรอบการปรับพักตัวลงของ SET ช่วงนี้จะมีกรอบไม่ลึกมากนัก และยังลุ้นโอกาสที่จะอยู่ในช่วงรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องได้อีก ดังนั้นส่วนถือลงทุนยังเน้นถือต่อได้อยู่
แนวรับ 1435-1430 , 1425-1420 จุด
แนวต้าน 1442-1445 , 1448-1453 จุด
Fund Flow วันศุกร์ที่ผ่านมากระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเพิ่มขึ้นเป็น US$374 ล้าน ไหลเข้าทุกประเทศแต่กว่าครึ่งเข้าเกาหลีใต้ US$209 ล้าน และเข้าไทยมากขึ้นเป็น US$83 ล้าน นอกนั้นเป็นการไหลเข้าไต้หวัน US$50 ล้าน อินโดนีเซีย US$25 และฟิลิปปินส์ US$4 ล้าน ทำให้กระแสเงินทั้งสัปดาห์ไหลออกน้อยลงเป็น US$307 ล้าน เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ไหลออกถึง US$1,149 ล้าน แนวโน้มเงินทุนน่าจะยังไหลออกแต่เบาบางลง เพราะตลาดกังวล PMI ของจีนที่ชะลอ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) เงินบาทอ่อนทะลุ 35 บาท/ดอลลาร์ จากการคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ก.ย. นี้หลังเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณดีขึ้นโดยเฉพาะตลาดแรงงาน การอ่อนตัวอย่างรวดเร็วของค่าเงินบาท ในขณะที่นโยบายการคลังเริ่มทำงาน (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ) ทำให้เราคาดว่ากนง.ที่จะประชุม 5 ส.ค. จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ปัจจัยใหม่ที่จะกดดันกลุ่มแบงก์หายไป ทำให้การฟื้นตัวของราคาหุ้นกลุ่มแบงก์น่าจะต่อเนื่อง เราคิดว่า KBANK, SCB, KTB น่าสนใจอย่างน้อยในระยะสั้น ทั้งในแง่ Valuations และเป็นหุ้นที่ถูก short sales มากสุดในกลุ่ม
(+) คลังชง 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าครม.พรุ่งนี้ มาตรการส่วนใหญ่แม้ไม่ใช่ของใหม่แต่หากทำได้ตามเป้าย่อมช่วยเศรษฐกิจได้ และกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จะเป็นกลุ่มค้าปลีก ธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นรากหญ้า และผู้ประกอบการที่ทำสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
(+) กลยุทธ์เดือน ส.ค. เราเชื่อว่า Downside ของตลาดหุ้นต่ำมากแล้ว แม้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่ฟื้นตัวแต่คาด EPS Growth ของตลาดปี 2015 จะขยายตัวได้ 20-22% Y-Y ถ้าอิง PE 15 เท่า SET Index ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1,378 – 1,392 จุด ต่ำกว่าดัชนีระดับปัจจุบันไม่มากนัก ทั้งนี้ เราไม่ได้น้ำหนักกับ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพราะไม่ใช่มาตรการใหม่ แต่หากทำได้ตามเป้าอาจสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่เราคาดหวังกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าโดยมีการลงทุนภาครัฐเป็นหัวหอก จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่ระดับดัชนีปัจจุบันจึงน่าทยอยซื้อในลักษณะลงทุน สำหรับการลงทุนในเดือน ส.ค. เราเลือกหุ้นที่กระแสเงินสดแข็งแกร่ง พื้นฐานธุรกิจทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจขาลง และราคาหุ้นผ่านการปรับฐานแล้ว ได้แก่ ADVANC, BEAUTY, CENTEL, QH, RS
(+) CENTEL แนวโน้มกำไร 2Q15 ดีต่อเนื่อง แม้คาดว่าจะลดลง 72% Q-Q แต่เป็นเพราะฤดูกาล แต่โตก้าวกระโตต 456% Y-Y จากทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหาร ธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฟื้นแรงจากปีก่อนที่มีเหตุการณ์การเมือง ส่วนธุรกิจอาหารแม้ Same store sales จะกลับมาติดลบ 1% Y-Y แต่ margin ดีขึ้นมากจากการปิดสาขาที่ขาดทุนตั้งแต่ปลายปีก่อน และการบริหารวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะดีต่อเนื่องใน 2H15 กำไรทั้งปีที่เราคาดโต 48% Y-Y อาจต่ำเกินไป (สวนทาง MINT ที่กำไร 2Q15 หด Y-Y และกำไรทั้งปีโตต่ำ) เราแนะนำซื้อ ให้ CENTEL เป็น Top pick ของกลุ่ม ราคาเป้าหมาย 45 บาท
(0) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดลบหลังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการของหุ้นกลุ่มพลังงานที่อ่อนแอ
(0) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกได้เล็กน้อย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากบริษัทพลังาน แต่เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอื่นที่ประกาศออกมานั้นเริ่มฟื้นตัวขึ้น
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงอีกครั้งตามความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน หลังประกาศตัวเลข PMI ที่อ่อนแอลง
(0) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย ล่าสุดแกว่งตัวในกรอบ 34.99-35.06 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. ปิดที่ 47.12 เหรียญ/บาร์เรล ปรับลง 1.4 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากตลาดได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทพลังงาน และแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาลง ส่งผลต่อภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่สูงเกินไป
ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปิดที่ 1,095.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.4 เหรียญ/ออนซ์ หลังจากประกาศต้นทุนการจ้างงาน 2Q15 เพิ่มขึ้นน้อยสุดในรอบ 30 ปี ทำให้ตลาดคาด FED อาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3-ส.ค. - ไทย:อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.), กสทช.จัด Public hearing การประมูล 4G
- สหรัฐ:Personal Income, Personal Spending (มิ.ย.)
4-ส.ค. - ออสเตรเลีย: ธนาคารกลาง (RBA)ประชุม
- อินเดีย: ธนาคารกลาง (RBI)ประชุม
- กรีซ:ตลาดหุ้นกลับมาเปิดทำการหลังปิดมานานกว่า 5 สัปดาห์
5 ส.ค. - ไทย: กนง.ประชุม, ASEFA เข้าเทรด (ราคา IPO 3.70 บาท)
- อินโดนีเซีย: 2Q15 GDP
- สหรัฐ:การจ้างงานภาคเอกชน (ADP Report) (ก.ค.)
- ยูโรโซน:Markit Eurozone Composite PMI (ก.ค.),ยอดค้าปลีก (มิ.ย.)
6 ส.ค. - ไทย:ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ค.)
- สหรัฐ: ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์
10-ส.ค. - ไทย: COM7 เข้าเทรด (ราคา IPO 3.35 บาท)
13 ส.ค. - ไทย: PIMO เข้าเทรด (ราคา IPO 1.30 บาท),กพช.ประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมแสงอาทิตย์) (เลื่อนมาจาก 29 ก.ค.)
- จีน:ดุลการค้า (มิ.ย.)
14-ส.ค. - อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI) ประชุม
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research