- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 July 2015 16:33
- Hits: 1125
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Selective Buy
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ ยังคงซึมตัวลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า แกว่งแคบ 1,440 จุด +/- โดยกลุ่มน้ำมัน / ปิโตรเคมี ถูกขายลดน้ำหนัก หลังราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงสู่แนว US$48/barrel อีกทั้งเป็นการซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ และแรงกดดันจากตลาดหุ้นในเอเชียที่ปรับฐานลงเช่นกัน ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบอีก 6.58 จุด มาอยู่ที่ 1,438.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 28,602 ล้านบาท
กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยหนาแน่นเป็นวันที่ 3 อีก 1,757 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 7 อีก 176 สัญญา และคงขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีกเล็กน้อย 160 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามการประกาศผลการดำเนินงาน 2Q58 ของกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร ในช่วงนี้
วันนี้ติดตามตัวเลขการส่งออกเดือนมิ.ย.ของไทย Bloomberg consensus คาด -4.3% yoy จากเดือนก่อนหน้า -5.0% yoy ส่วนการนำเข้า คาด -7.8% yoy ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า -20.0% yoy
มุมมองต่อตลาด
เราคงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น "กลาง" วันที่ 15 พร้อมกับประเมิน SET INDEX แกว่งระหว่าง 1,430-1,450 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง เพราะภาวะการลงทุนทั่วโลกขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนต่างรอฟังความเห็นของเฟดต่อภาวะเศรษฐกิจ เพื่อประเมินช่วงเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในช่วงใดของปีนี้
ขณะที่ ณ ระดับ SET INDEX ที่ 1,438.08 จุด ซื้อขาย PER15-16 เท่ากับ 14.91x และ 12.99x ตามลำดับ เป็นบริเวณ -1SD ของค่าเฉลี่ย 1Yr และ 2Yr Forward PER ย้อนหลัง 1 ปีที่ผ่านมา รวมถึงหุ้นหลัก เริ่มมี Valuation ที่ต่ำจนน่าสนใจสำหรับการทยอยสะสมในระยะกลางถึงอย่าง เราจึงแนะนำให้นักลงทุนระยะกลางเริ่มทยอย Bottom Fishing
แต่อย่างไรก็ตาม ทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างรวดเร็วในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากพิจารณา YTD เงินบาทอ่อนค่าสุดเป็นลำดับที่ 4 ของเงินสกุลหลักในเอเชีย เท่ากับ -5.78% โดยเงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่าสุดในเอเชีย -8.40% ขณะที่เงินทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ทั้ง 5 ตลาดพร้อมกันเป็นวันที่ 2 ในวันศุกร์ (ยกเว้นตลาดหุ้นเวียดนาม) แม้ว่าจะไม่ได้หนานแน่นมากนัก แต่ปัจจัยดังกล่าว เป็นสิงที่ประเมินถึงมุมมุมองของนักลงทุนต่างชาติต่อภาวะการลงทุนในไทยเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนระยะกลาง กลับมาเลือกสะสมหุ้นในลักษณะ Bottom Fishing เน้นที่ประเด็นพื้นฐานการลงทุน และ/หรือ ผลตอบแทนปันผลทั้งปีไม่ต่ำกว่า 4.0% เป็นเกณฑ์การเลือกหุ้นลงทุน ภายใต้ภาวะการลงทุนที่อ่อนแอในปัจจุบัน"
Top Pick in 3Q15: BCP / BMCL/ IFEC / WHA
HOLD: ITD / TPIPL/ BJCHI/ ADVANC/ WHA/ THAI/ BCP/ IFEC/ INTUCH
Accumulative Buy: ADVANC / SCC
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ทยอยสะสม" ได้แก่
1. ADVANC : ราคาปิด 246.00 บาท ราคาเหมาะสม 290.00 บาท
a) ADVANC จะรายงานงบ 2Q58 ในวันที่ 3 ส.ค. และคาดว่ากำไรสุทธิ 2Q58 จะเติบโต +12.1% yoy เป็น 9.5 พันล้านบาท
b) คาดการณ์เงินปันผล 1H58 หุ้นละ 6.50 บาท คิดเป็น Dividend Yield 2.6% และทั้งปี 2558 หุ้นละ 13.16 บาท คิดเป็น Dividend Yield 5.2%
c) คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากการประมูล 4G ทั้งคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ใน 4Q58 จะเป็นตัวปลดล็อกสัญญาสัมปทานเดิม และส่งผลบวกทั้งรายได้การให้บริการ Data ที่จะเร่งตัวขึ้นภายใต้ระบบ 4G และต้นทุนค่าธรรมเนียมลดลงจากเดิม
d) ให้เป็น Top pick ของหุ้นกลุ่มสื่อสาร
2. SCC : ราคาปิด 512.00 บาท ราคาเหมาะสม 570.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้น SCC จะ Outperform ตลาด เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ NYMEX, BRENT ที่ทำระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และส่งผลบวกต่อ Spread ธุรกิจปิโตรเคมีเนื่องจากเป็นสายการผลิตแบบ Naphtha Base
b) SCC จะรายงานงบ 2Q58 ในวันพุธนี้ (29 ก.ค.) โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตสูง +31% yoy เป็น 1.12 หมื่นล้านบาท จากแรงหนุนของสเปรดธุรกิจปิโตรเคมีทั้ง HDPE และ PP ที่ปรับตัวขึ้น เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากต้นทุนน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง
c) คงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการใน 2H58 เนื่องจากเชื่อว่ายอดขายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเร่งตัวขึ้นจากงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่เริ่มเข้าสู่ระบบ และธุรกิจปิโตรเคมียังสดใสจากราคาน้ำมันดิบที่แกว่งตัวในระดับต่ำ
d) ผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2558 เติบโต +22.9% yoy เป็น 41,322 ล้านบาท และต่อเนื่อง +10.1% yoy ในปี 2559 เป็น 45,494 ล้านบาท
e) คาดการณ์เงินปันผล 1H58 หุ้นละ 6.00 บาท คิดเป็น Dividend Yield ราว 1.2% และทั้งปี 2558 หุ้นละ 16.53 บาท คิดเป็น Dividend Yield 3.2%
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียขายสุทธิวันที่ 3 อีก US$356 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$454 ล้าน
ขายสุทธิแทบทุกตลาดยกเว้นตลาดเวียดนาม เช่นเดียวกับวันก่อนหน้า
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเร่งลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 5 อีก 1,757 ล้านบาท รวม 5 วันทำการ ขายสุทธิ 7,168 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ ขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 40,316 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติคงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 7 ลดลงเหลือ 176 สัญญา รวม 7 วันทำการ short สุทธิ 17,213 สัญญา คาดเป็นการเปิดสถานะ short ต่อเนื่อง แม้ว่า S50U15 ปิดต่ำกว่า Set50 Index แคบลงเหลือ 15.77 จุด จากวันก่อนหน้าที่ Discount กว้างถึง 18.27 จุดก็ตาม ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเท่ากับ 58,289 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 2 อีกเล็กน้อย 160 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขาสุทธิ 1,723 ล้านบาท แม้ว่าราคาพันธบัตรไทยเริ่มฟื้นตัวเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลง 1.98bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 1.48bps ปิดที่ 2.818%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเหลือ 711 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,275 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ขายสุทธิเป็นวันที่ 3 กลับมาลดน้ำหนัก ADVANC / KBANK
การซื้อขายผ่าน NVDR ขายสุทธิลดลงเหลือ 679 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 1,398 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ขายสุทธิ 2,906 ล้านบาท เน้นลดน้ำหนักเป็นรายตัวเช่นเดิม สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่ม ICT ขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 209 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารขายสุทธิ 209 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 764 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 111 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 535 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มสื่อและสิ่งพิพม์ถูกซื้อสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 32 ล้านบาท
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530