- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 July 2015 17:22
- Hits: 1559
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Bottom Fishing
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานซึมตัวลงทดสอบแนว 1,450 จุด ด้วยแรงขายหุ้นหลักอย่าง KBANK / PTT แม้ว่าบรรยากาศรอบเอเชียจะเป็นบวกก็ตาม แต่ด้วยภาวะการลงทุนที่ไร้ปัจจัยใหม่เข้ามากำหนดทิศทาง ทำให้นักลงทุนบางส่วนกลับมาลดพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบ 19.44 จุด มาอยู่ที่ 1,447.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,249 ล้านบาท
กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นกลางวันที่ 8 ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 353 ล้านบาท ซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 3 อีก 282 ล้านบาท แต่คง Short สุทธิ SET50 Index Futures เป็นวันที่ 4 อีก 2,510 สัญญา
ปัจจัยสำคัญวันนี้
BBL รายงานกำไรสุทธิใน 2Q58 ต่ำกว่าตลาดคาดราว 3% แต่ KTB กำไรสุทธิ 2Q58 ออกมาดีกว่าคาดถึง 20%
สถาบันภายในประเทศยังคงซื้อสุทธิ YTD สูงสุด 37,947 ล้านบาท
กระแสการปรับครม.ทีมเศรษฐกิจมีมากขึ้น จับตาการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันนี้ อาจมีการพิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นออกมาเรียกความเชื่อมั่น
มุมมองต่อตลาด
เราคงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น "กลาง" วันที่ 13 แม้ว่า SET INDEX วานนี้จะปรับฐานลงแรงสวนทางกับภาพรวมตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย และหลุดแนว 1,450 จุดก็ตาม แต่หากเราวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐาน ณ ระดับปิด 1,447.44 จุด ซื้อขาย PE Ratio ของ EPS ปี 2558 - 2559 เท่ากับ 15.00x และ 13.07x ตามลำดับ ทั้ง 2 ตัวเลข ใกล้เคียงกับระดับ 1Yr Forward PE Ratio เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ระดับ -1SD ที่ 14.91x และ 2Yr Forward ที่ 12.98x ทำให้เราเชื่อว่า Downside risk ของ SET INDEX จำกัดมากขึ้น โดยหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร อย่าง KBANK / BBL / SCB/ KTB ณ ราคาปิดวานนี้ ซื้อขายที่ -2SD ของ 1Yr Forward PBV แล้วเช่นกัน น่าจะช่วยปิดความเสี่ยงจากความอ่อนแอของภาพตลาด ภายใต้ภาวะการลงทุนที่ขาดความเชื่อมั่น
อีกทั้ง ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ บริเวณ 34.50 บาท/US$ +/- เรายังเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติบางกลุ่ม อย่าง Hedge Fund อาจกลับเข้ามาเก็งกำไรตลาดหุ้นไทย หลังงบ 2Q58 ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยออกมาใกล้เคียงหรือสูงกว่าคาด รวมถึงเข้าสู่ฤดูกาลการจ่ายปันผลระหว่างกาล
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน เป็นกลาง การประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า เราเชื่อว่าเฟดจะส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้เช่นเดียวกับที่ประธานเฟดให้ความเห็นในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงไม่น่าจะมีน้ำหนักต่อการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก
แม้ว่าภาพรวมของการลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างเปราะบาง และอ่อนแอ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศอยู่ในระดับต่ำ แต่ภายใต้วิกฤติหรือบรรยากาศที่เงียบเหงา ย่อมมีโอกาสของการลงทุนเช่นกัน หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q58 ยังเห็นการเติบโตโดดเด่น และ/หรือ ปันผลระหว่างกาลไม่ต่ำกว่า 2% หากราคาหุ้นเหล่านี้ปรับฐานลงตามภาพตลาด ย่อมกลายเป็นโอกาสของการเข้าสะสมเช่นกัน
พร้อมแนะนำให้ติดตามการเคลื่อนไหว การปรับครม.ทีมเศรษฐกิจที่มีเสียงเรียกร้อยจากฝั่งเอกชน มากขึ้น ณ ขณะนี้ หากได้ผู้เข้าร่วมทีมที่เป็นที่ยอมรับในเวทีเศรษฐกิจโลก เชื่อว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกลับมาเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดังนั้น เราแนะนำ "นักลงทุนระยะกลาง กลับมาเลือกสะสมหุ้นในลักษณะ Bottom Fishing เน้นที่ประเด็นพื้นฐานการลงทุน และ/หรือ ผลตอบแทนปันผลทั้งปีไม่ต่ำกว่า 4.0% เป็นเกณฑ์การเลือกหุ้นลงทุน ภายใต้ภาวะการลงทุนที่อ่อนแอในปัจจุบัน"
Top Pick in 3Q15: BCP / BMCL/ IFEC / WHA
HOLD: ITD / TPIPL/ BJCHI/ ADVANC/ WHA/ THAI/ BCP/ IFEC/ INTUCH
Speculative buy: KBANK / ITD
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ได้แก่
1. KBANK : ราคาปิด 181.50 บาท ราคาเหมาะสม 221.00 บาท
a) MBKET คาดว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะฟื้นตัวได้ในวันนี้ หลังรายกลุ่มธนาคารรายงานผลประกอบการ 2Q58 ครบทุกธนาคารแล้ว และส่วนใหญ่ออกมา Inline หรือ ดีกว่าคาดการณ์ของตลาด
b) ราคาหุ้น KBANK วานนี้ปรับตัวลง -3.5% และลดลงถึง 22.1% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับ SETBANK -18.2% และ SET INDEX -7.3% เชื่อว่าได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว
c) แม้ภาพรวมการลงทุนจะยังมีความเปราะบาง แต่กระแสการปรับครม.เศรษฐกิจ เชื่อว่าจะช่วยหนุน Sentiment การลงทุน พร้อมทั้งความคาดหวังในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่
d) Valuation หุ้นกลุ่มธนาคารเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ โดย KBANK ซื้อขายระดับ PER2558 ที่ 9.4 เท่า และ PBV2558 ที่ 1.5 เท่า เป็นระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีแล้ว จึงเชื่อว่า Downside Risk จะค่อนข้างจำกัด
2. ITD : ราคาปิด 7.50 บาท ราคาเหมาะสม 12.00 บาท
a) วานนี้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวลง -3.9% หลังโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯกว่า 7.3 แสนล้านบาท อาจเลื่อนประมูลไปเป็นปี 2559
b) อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินว่าเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างสำหรับภาพการลงทุนระยะกลางขึ้นไป และประเมินว่าโครงการภาครัฐฯขนาดใหญ่ที่ยังคงแผนประมูลในปีนี้ เช่น รถไฟฟ้ารางคู่ 3 เส้นทาง, Motorway พัทยา-มาบตาพุด และรถไฟฟ้าไทย - จีน มูลค่ารวม 9.5 หมื่นล้านบาท มีนัยเพียงพอที่จะผลักดันราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
c) ขณะที่การประมูลงานสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ยังคาดว่าจะเกิดขึ้นทันในปีนี้ช่วงเดือน ต.ค. มูลค่างานสูงถึง 5.2 หมื่นล้านบาทเป็นปัจจัยบวกที่รออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ ITD ที่เป็นผู้ชนะงานเฟสแรกจึงมีโอกาสสูงที่จะได้งานเฟส 2 ที่
d) คาดการเซ็นสัญญาโครงการทวายระดับรัฐบาล - เอกชนในวันศุกร์นี้ (24 ก.ค.) จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้น ITD ฟื้นตัวได้
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ตลาดหุ้นเอเชียกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$195 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$119 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
กระแสเงินทุนต่างชาติชะลอตัวต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เท่ากับ 353 ล้านบาท รวม 2 วันทำการ ขายสุทธิ 369 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ ขายสุทธิเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เป็น 33,517 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติคงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 4 อีก 2,510 สัญญา รวม 4 วันทำการ short สุทธิ 10,290 สัญญา คาดเป็นการเปิดสถานะ short ต่อเนื่อง กดดันให้ S50U15 ปิดต่ำกว่า Set50 Index กว้างขึ้นเป็น 17.95 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 14.29 จุด ทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิเท่ากับ 51,366 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 อีก 282 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ซื้อสุทธิ 903 ล้านบาท ทำให้ราคาพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเล็กน้อย 0.32bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 0.13bps ปิดที่ 2.821%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เพิ่มเป็น 1,196 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 557 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 กลับมาเน้น Defensive อย่าง BTS / INTUCH
การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิอีก 462 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 587 ล้านบาท รวม 5 วันทำการ ซื้อสุทธิ 3,401 ล้านบาท ยังคงเน้นสะสมเป็นรายตัว สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มขนส่งถูกซื้อสุทธิสูงสุด 449 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 367 ล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 226 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 133 ล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 104 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 271 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิสูงสุด 656 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 164 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงานขายสุทธิ 138 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 151 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
ตลาดคาด BoE อาจพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า: การสำรวจของ Bloomberg ล่าสุดพบว่า 65% ของนักเศรษฐศาสตร์ 26 ท่านที่ตอบแบบสอบถาม ให้น้ำหนักว่า BoE จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนส.ค. เป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเดือนมิ.ย.ที่ 18% เท่านั้น
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
สิงคโปร์คงเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปีนี้: ระหว่าง -0.5 ถึง 0.5% แม้ว่าเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคจะฟื้นตัวอย่างจำกัด แต่เศรษฐกิจสิงคโปร์น่าจะเติบโตในระดับปานกลาง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 7 ในเดือนพ.ค. แต่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2559 ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงน่าจะเริ่มฟื้นตัวใน 4Q58
ธนาคารกลางออสเตรเลียคาดเศรษฐกิจชะลอตัวใน 2Q58: ธุรกิจที่ไม่ใช่เหมืองแร่ยังคงชะลอตัว การสำรวจภาคธุรกิจยังคงทรงตัวในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียไม่ได้ช่วยให้เกิดความสมดุลย์ของการเติบโต การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ออสเตรเลียจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ไทย
รับกระแสปรบครม. หม่อมอุ๋ย อัดบิ๊กตู่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ: เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทย ได้จัดประชุมประจำเดือน โดยมีกรรมการผู้จัดการใหญ่ และซีอีโอ ธนาคารทั้งไทยและต่างชาติ ราว 30-40คน ร่วมประชุม ได้เชิญม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ มาบรรยายสรุป การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ทำอยู่จำเป็นต้องใช้เวลา ยืนยันว่าจะไม่นำเงินไปแจกหรืออัดฉีดเข้าสู่ระบบเหมือนกับรัฐบาลก่อนๆ บางช่วงบางตอนระหว่างการอธิบายการทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า "ผมพูดเรื่องเศรษฐกิจ คิดว่าทุกคนในนี้เข้าใจ แต่คุยกับนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ แล้วยังนำไปพูดตอบนักข่าวทุกเรื่อง
คาดปรับครม.ไม่เกินเดือนส.ค.: ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การปรับ ครม.ประยุทธ์2 ล่าสุดค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีการปรับครม.แน่นอน อย่างเร็วสุดก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคมและอย่างช้าที่สุดก่อนวันที่ 12สิงหาคม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจปรับใหญ่ เนื่องจากบริหารงานเกือบครบ 1ปี อยากปรับพร้อมกันในคราวเดียว ไม่อยากเปลี่ยนบ่อยเพราะเกรงใจ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคนที่นายกฯเชิญมา อย่างไรก็ตามการปรับครม.ครั้งนี้จะเน้นไปที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลในขณะนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นโดยรวมของรัฐบาล มีความเป็นไปได้จะปรับออกเกือบทั้งหมด โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นทีมที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ชักชวนเข้ามารับตำแหน่ง ขณะเดียวกันการปรับ ครม.ครั้งนี้ จะนำโผโยกย้ายนายทหารประจำปีมาประกอบการตัดสินใจด้วย เพื่อเกลี่ยตำแหน่งเกลี่ยวโควตาให้ได้รับความพึงพอใจทุกฝ่าย
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530