WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
     ปัจจัยต่างประเทศผ่อนคลายลงตามลำดับหลังกรีซบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ดำเนินการ ส่วนในประเทศวันนี้มีสัญญาณบวกของการลงทุนภาครัฐ ซึ่งน่าจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในภาคการก่อสร้าง โดยหุ้นเด่นวันนี้เลือก CK ([email protected]) เป็น Top Pick ขณะที่หุ้นที่มีภูมิคุ้นกันอย่าง THCOM(FV@B51) และ BTS(FV@B12) ก็น่าสะสม

 

ปัจจัยต่างประเทศผ่อนคลาย... การเจรจาหนีกรีซบรรลุข้อตกลง
      หลังจากการประชุมของกลุ่มผู้นำประเทศยูโรโซนที่ได้มีการประชุมยาวนานถึง 17 ชม. ให้ข้อสรุปว่าจะให้เงินช่วยเหลือกรีซ ก้อนที่ 3 ต่อ จำนวน 8.6 หมื่นล้านยูโร ระยะเวลา 3 ปี โดยในรายละเอียดแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของกรีซที่ต้องทำตามข้อตกลงสองส่วนสำหรับการปฏิรูปมีดังนี้
ส่วนที่ 1 กรีซจะต้องเพิ่มการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม, จะต้องมีฐานการเก็บภาษีที่กว้างขึ้น, มีการปฎิรูประบบบำนาญ, จัดทำระบบ “Quasi-Automatic” สำหรับการจำกัดงบประมาณเมื่อเศรษฐกิจกรีซ underperform


        ส่วนที่ 2 กรีซจะต้อง ลดเงินบำนาญให้มากกว่าที่เป็น, เพิ่มกฎหมายใหม่เพื่อทำให้เกิดความเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น เพิ่มช่วงเวลาการค้าในวันอาทิตย์, การให้เอกชนมีส่วนร่วมในระบบการปล่อยกระแสไฟฟ้า รวมถึงลดการแทรกแซงการดำเนินงานของธนาคาร และการจัดตั้งกองทุนจำนวน 50 พันล้านยูโร (โดยได้รับการบริหารจากรัฐบาลกรีซ แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ EU)


โดยการตอบรับให้การช่วยเหลือนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นแรกของการจะให้เงินช่วยเหลือ กระบวนการที่เหลืออาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือจริงๆ โดยนายกฯของกรีซต้องทำแผนข้อตกลงส่วนที่ 1 ให้มีผลทางกฎหมายซึ่งน่าจะแล้วเสร็จในวันพุธนี้ และต้องยื่นต่อให้ให้กลุ่มผู้นำ EU อนุมัติต่อเพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามต่อว่าสภาและประชาชนของกรีซจะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือไม่ หลังจากมีการลงประชาชมติว่าไม่ขอรับเงื่อนไขการรัดเข็มขัดในวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมาถึง 63%
ส่วนทางฝั่งจีน เมื่อวานมีการรายงานตัวเลขตัวเลขส่งออกในเดือน มิ.ย.ในรูปเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.8% yoy หลังจากหดตัวต่อเนื่องถึง 3 เดือน ส่วนการนำเข้า หดตัวที่ 6.1% (หดตัวลดลงจากช่วงก่อนหน้าที่หดตัวถึง 17.6% แต่ยังหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8) ส่งผลให้ในเดือน มิ.ย. การค้าเกินดุลถึง 46.54 พันล้านเหรียญ โดยหากเทียบในช่วงครึ่งแรกของปี การส่งออกปรับตัวขึ้น 0.9% แต่การนำเข้าหดตัวถึง 15.5% โดยรัฐบาลจีนมองว่าในครั้งปีหลังการส่งออกและการนำเข้าของจีนน่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลตัวเลขการค้าขณะนี้ยังกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เป้าหมายที่ 7% อยู่ โดยรัฐบาลจีนน่ามีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย มาอยู่ที่ 4.85% (ลดลง 4 ครั้งรวม 1.15% ในรอบ 7 เดือน) และ RRR ลงมาอยู่ที่ระดับ 18% (ปรับลด 3 ครั้งในรอบ 5 เดือนรวม 2%) นอกจากนี้หากการส่งออกและการนำเข้าของจีนฟื้นตัวขึ้น น่าจะส่งผลประเทศทางแถบภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยให้การส่งออกปรับตัวดีขึ้น (จีนถือเป็นตลาดส่งออกประมาณ 11% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย)

 

การเจรจาอิหร่านใกล้ได้ข้อสรุป กดดันราคาน้ำมัน
     การเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่าน กับชาติมหาอำนาจ 5+1 ที่กรุงเวียนนา จะมีการแถลงในช่วงค่ำของวันจันทร์ หรืออาจเป็นช่วงเช้ามืดของวันอังคารนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) อย่างไรก็ตาม การเจรจายังคงไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยอิหร่านต้องการให้ชาติมหาอำนาจยกเลิกการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมัน เพื่อแลกกับการลดระดับการทดลองนิวเคลียร์ แต่ก็ยังติดอยู่ในเงื่อนไขบางประการที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งนี้ การเจรจาดังกล่าวที่มีความคืบหน้าไปมาก ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบให้ปรับลดลงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลว่าหากมาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกของอิหร่านถูกยกเลิก จะทำให้ Supply น้ำมันจากอิหร่านเข้ามาทำให้สถานการณ์ Oversupply กลับขึ้นมาในช่วงสั้น แม้ว่าวานนี้ OPEC เพิ่งออกรายงานประจำเดือน ก.ค. และได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีนี้ขึ้นอีก 1.28 ล้านบาร์เรล/วัน (เพิ่มจาก 1.18 ล้านบาร์เรล/วัน) และปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีหน้าขึ้นอีก 1.34 ล้านบาร์เรล/วัน ก็ตาม จึงทำให้เชื่อว่าราคาน้ำมันยังคงแกว่งตัว และยังเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นในกลุ่มน้ำมัน

 

เสนอ ครม. อนุมัติมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง 1.6 แสนล้านบาท
       ในการประชุม คณะรัฐมนตรีวันนี้ กระทรวงคมนาคมจะเสนอให้พิจารณาแผนการก่อสร้างทางหลวงระหว่างเมือง (Motorway) 3 เส้นทางที่ผ่านการอนุมัติรายงานสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว มูลค่าการลงทุนรวม 1.6 แสนล้านบาท แยกเป็นเส้นทาง บางปะอิน – นครราชสีมา มูลค่า 8.46 หมื่นล้านบาท , บางใหญ่ – กาญจนบุรี 5.56 หมื่นล้านบาท และ พัทยา – มาบตาพุด 2.02 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างกระบวนการในการดำเนินงาน 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม- มีนบุรี) ซึ่ง ครม.ได้เห็นชอบไปแล้วแต่มีปัญหาเรื่องการคัดค้านของชุมชน ซึ่งต้องทำความเข้าใจ ขณะที่อีก 2 เส้นทาง ได้แก่ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ สายสีชมพู (แคราย - มีนบุรี) เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่าจะทำงานในระบบ PPP โดยรัฐบาลจะรับภาระในด้านการเวนคืนที่ดินส่วนเอกชนจะลงทุนในด้านงานก่อสร้าง ระบบการเดินรถ และ บริหารการเดินรถ โดยในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ สีชมพู


คาดว่าจะนำเสนอต่อ ครม. ได้ในช่วงปลายปี 2558 ซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะส่งผลบวกต่อ Sentiment การเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ทั้ง4 บริษัทได้แก่ ITD, CK, STEC และ UNIQ โดยหุ้นที่ฝ่ายวิจัยเลือกเป็น Top Pick ได้แก่ CK (FV@B 31.25) การขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เข้าสู่ระบบ ถือเป็นความพยายามของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามกระบวนการในการดำเนินอย่างอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในกระบวนการดำเนินการปกติหลังจากผ่านการอนุมัติของ ครม.มาแล้ว กว่าจะที่เห็นการเซ็นสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมาฯ อาจใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งก็หมายความว่าเม็ดเงินลงทุนที่แท้จริงอาจเข้ามาสู่ระบบในปี 2559 สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อย โดยจากการรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. ปรับตัวดีขึ้น 9.4% mom แต่เมื่อเทียบกับปีที่แล้วยังคงหดตัว 7.6% โดยปัจจับบวกมาจากอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ (ส่งออกน้อยกว่า 30%) ที่ขยายตัว 1.43% เช่นการกลั่นนำมันปิโตรเลียม รวมถึงยอดขายปูนที่เพิ่มขึ้นถึง 3.88%yoy ซึ่งน่าจะเป็นผลจากโครงการก่อสร้างต่างๆ

 

ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องวันที่ 4
วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคราว 100 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) แต่เป็นการซื้อสุทธิอยู่ประเทศเดียว คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 59 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 6 วัน) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ ประกอบด้วย ตลาดหุ้นไต้หวันถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 116 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียและตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 8 ล้านเหรียญ และ 2 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิราว 33 ล้านเหรียญ หรือ 1,116 ล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องวันที่ 4) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 2,273 ล้านบาท ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 10,936 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 5,151 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 34.04 บาท/ดอลลาร์

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!