- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 June 2015 18:09
- Hits: 1045
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เล่นรอบ-ค่าลบ & ไม่ผ่าน 1520 ขายก่อน"
Stock Picks-June 2015 : Fundamental : CK, GL, KBANK, PLANB, TTCL Dark Horse: BJCHI, MCS
Fundamental Pick -Today: BJCHI
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : ITD 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกที่พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1520-1530 หลุด 1500
SET50 ซื้อค่าบวก 1010,1020 หุลด 990
Technical Picks- Today : TCMC, UNIQ, WHA, PTT, KIAT, RS, ROBINS, TPCH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปรับขึ้นจากแรงซื้อเก็งกำไรดักผลประชุมเฟด โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ Mixed และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมาก นักลงทุนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิ ส่วนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ
ผลประชุมเฟดออกมาแล้ว โดยเฟดมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 58 ลงเนื่องจากช่วง 1Q58 ชะลอตัวแต่ก็มองแนวโน้มดีขึ้น ทำให้คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้แต่ความรวดเร็วและความแรงในการปรับขึ้นน้อยกว่ามุมมองในครั้งก่อน ปัจจัยติดตาม คือ ผลประชุมรมว.คลังยูโรโซนในประเด็นกรีซวันนี้ (18 มิ.ย.) ซึ่งอาจจะกดดันตลาดอยู่บ้าง แต่ไม่น่ารุนแรงมากเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่ากรีซและกลุ่มเจ้าหนี้น่าจะประนีประนอมกันได้ในที่สุด สำหรับพอร์ตเก็งกำไรรอบสั้นควรระวังการแกว่งของราคาหุ้นและตลาดจากแรงขาย Sell on fact หลังจบประชุมเฟด แต่สำหรับพอร์ตลงทุนระยะกลาง-ยาวยังแนะนำให้ซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว/ถือหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีต่อ ยังคงประเมิน SET Index ไว้ในกรอบบน 1520-1530 และกรอบล่าง 1480-1470 จุด สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BJCHI
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญานทางเทคนิคพลิกเป็นบวก แต่ก็พร้อมจะแกว่งและอ่อนตัวลง กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1520-1530, 1540 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ต่ำกว่า 1500 ควรลดพอร์ตตามในกรณีที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย
สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SENA, SCN ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น DELTA, BJCHI, S, KIAT, ROBINS และหุ้นที่ราคาปรับขึ้นตามคำแนะนำแล้ว & อยู่ในพื้นที่ Take Profit เป็น BTS, TPIPL, EFORL ส่วนหุ้นที่หลุด List คือ TUF, THREL, AJP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% โดยธนาคารกลางสหรัฐพอใจต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นหลัง GDP ร่วงลง 0.7% ใน 1Q58 ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลาง และมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% เฟดก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่าราคาพลังงานมีเสถียรภาพ หลังจากที่ฉุดให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงก่อนหน้านี้
สหรัฐ: เฟดปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 58 และลดความเร็ว & แรงของการปรับขึ้นดอกเบี้ยลง เฟดปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 58 เป็น 1.8-2.0% (เดิม 2.3-2.7%) แต่คงคาดการณ์ของปี 59 ไว้ที่ 2.4-2.7% ส่วนปี 60 ที่ 2.1-2.5% เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่ระดับ 0.6%-0.8% ส่วนในปี 2016 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 1.6%-1.9% ขณะที่ปี 2017 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.9%-2.0% และคาดการณ์อัตราการว่างงานว่าจะลดลงเป็น 5.2-5.3% ใน 4Q58 (ซึ่งช้ากว่าประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 5.0-5.2% ) และจะลดลงเป็น 4.9-5.1% ในปี 59
ทั้งนี้การปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ลง ทำให้ประเมินกันว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วนัก แต่ยังคงเริ่มปรับขึ้นในปีนี้ เจ้าหน้าที่เฟด 15 ใน 17 รายระบุว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในปี 58 ซึ่งเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้น 1 หรือ 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าครั้งก่อนที่ระบุว่าจะปรับขึ้น 2 ครั้งในปีนี้ เฟดคงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงปลายปี 58 ที่ 0.625% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 59 สู่ระดับ 1.625% (เดิม 1.875%) และปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของปี 60 สู่ 2.875% (เดิม 3.125%)
สำหรับ DBS คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งใน 4Q58 และปรับขึ้นไตรมาสละ 1 ครั้งในช่วง 1H59 จนเป็น 1.00% ในกลางปี 59 (จากปัจจุบันที่ 0.25%)
กรีซ : ติดตามผลประชุมรมว.คลังกลุ่มประเทศยุโรป 18 มิ.ย.นี้ ซึ่งประเด็นหารือสำคัญเป็นเรื่องแผนปฎิรูปของกรีซ ซึ่งหลายฝ่ายหวังว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น เพราะแผนความช่วยเหลือกรีซฉบับเดิมใกล้สิ้นสุดในปลายเดือนมิ.ย.นี้แล้ว
ตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้นเล็กน้อยหลังจบประชุมเฟด โดยดัชนี DJIA, Nasdaq และ S&P500 เพิ่มขึ้น 0.17-0.20% ซึ่งตอบรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ที่ไม่รวดเร็วนัก และจุดยืนของเฟดที่ระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายแม้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 58 ก็ลดช่วงบวกของตลาดลง
- ราคาทองคำปิดลดลงก่อนสิ้นสุดผลประชุมเฟด โดยสัญญาส่งมอบส.ค.ลดลง 4.1 ดอลลาร์ ปิดที่ 1176.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาน้ำมันดิบทรงตัว โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนก.ค. -0.05 และ +0.17 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.92 และ 63.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิรายสัปดาห์สหรัฐลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 467.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่าสหรัฐผลิตน้ำมันลดลง 21,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.589 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐลดลงอีก 7 แห่ง สู่ระดับ 635 แห่งในสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
/+ KTC เติบโตสวนเศรษฐกิจ ผู้บริหารเปิดเผยว่าในช่วง 5M58 ผู้ถือบัตร KTC มียอดใช้จ่ายรวม 5.06 หมื่นล้านบาท เติบโต 11%YoY และทั้งปี 58 คาดว่ายอดใช้จ่ายจะขยายตัวได้ 15% เนื่องจากประสบความสำเร็จในการจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์พรีเมียมมากขึ้น ออกเคมเปญสอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือบัตร รวมทั้งรุกลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย (ปัจจุบันมีลูกค้าต่างจังหวัด 60% กรุงเทพ 40%) บริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนบัตรเครดิตเป็น 2.2 ล้านรายในสิ้นปี 58 (+4 แสนรายในปีนี้) และเพิ่มสินเชื่อส่วนบุคคคลเป็น 8.5 แสนรายในสิ้นปี 58 (+1.46 แสนราย) ส่วนเรื่องการบริหารความเสี่ยง ยืนยันว่า NPL Ratio จะต่ำกว่าเฉลี่ยของระบบ โดยปัจจุบันของ KTB เท่ากับ 1.6% ส่วนเฉลี่ยระบบ 3.06% ด้าน Coverage ratio อยู่สูง 300% ทำให้ไม่ต้องตั้งสำรองฯเพิ่มพิเศษและอาจตั้งน้อยลงในปีนี้ นักวิเคราะห์ใน Consensus คาดการณ์ EPS ปีนี้เติบโต 15% เป็น 7.80 บาท/หุ้น ให้ราคาเป้าหมาย KTC เฉลี่ย 109 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 58 ที่ 3.2 เท่า (บริษัทมี ROE สูงถึง 27%) ซึ่งมี Upside จากราคาปิดถึง 18%
+ TMB คาดธนาคารไม่ตั้งสำรองฯพิเศษใน 2Q58 และกำไรจะเติบโตแกร่ง QoQ เนื่องจาก NPL Ratio ทรงตัวแล้ว โดยใน 1Q58 ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อฯไปสูงถึง 2.4 พันล้านบาทจนทำให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายเติบโตเพียง 2%YoY เป็นเพียง 1.6 พันล้านบาท ขณะที่กำไรก่อนสำรองฯขยายตัวสูงถึง 43%YoY ที่ 4.3 พันล้านบาท ด้าน NPL Ratio ณ สิ้นมี.ค.58 อยู่ที่ 3.0% เพิ่มจากสิ้นปี 57 ที่ 2.85% คาดว่าสิ้น 2Q58 จะทรงตัวใกล้ 1Q58 ขณะที่มี Coverage ratio ที่ 150% ในสิ้นมี.ค.58 เรามองว่าผลประกอบการหลัง 1Q ของปีนี้จะดีขึ้นเพราะแรงกดดันด้านการตั้งสำรองน้อยลงหลังทำไปมากใน 1Q58 อย่างไรก็ตาม จะยังไม่เห็นการเติบโตที่หวือหวามาก เนื่องจากธนาคารต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในช่วงเศรษฐกิจซบเซา แต่ก็ยังคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ TMB ในปี 58-59 ก็ Outperform กลุ่ม โดยอยู่ที่ +14% และ +12% ขณะที่กลุ่มเท่ากับ +6% และ 11% ตามลำดับ เรายังคงแนะนำซื้อ TMB โดยให้ราคาพื้นฐาน 3.60 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]